วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
วิธีการใช้บรัชออน
บรัชออน นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการแต่งหน้ามาก เพราะจะทำให้หน้าเราดูได้รูป และทำให้หน้าเราดูดีมีน้ำมีนวลขึ้นด้วย แต่ เดิมนั้น บรัชอนยังถูกใช้เป็นเทคนิคในการแต่งหน้าให้ได้รูป ดูมีโหนกแก้ม สัน แก้ม ซึ่งผลที่ได้กลับดูไม่เป็นธรรมชาตินัก ที่จริงก็ควรใช้บรัชออนตรงตามความหมายเดิมดีกว่า นั่นคือการมอบแก้มระเรื่อเป็นสาวอ่อนวัยสุขภาพดี
เวลาเลือกสีบรัชออน etude house จงจำแนกให้ออกว่า สีพีชกับสีชมพูต่างกันอย่างไร เพราะสีเหล่านี้จะช่วยเน้นโทนสีผิวตามธรรมชาติของคุณ และอย่าตัดสินสีจากบรัชออนใต้ตลับ หรือตลับตัวอย่างให้ลองแต่งที่พวงแก้มหรือเนียนแก้มของคุณให้เห็นจะๆไปเลย
ชนิดของบรัชออน
- บรัชออนชนิดฝุ่น สาวๆส่วนใหญ่มักนิยมใช้ เพราะใช้ง่ายและเหมาะกับทุกสภาพผิว ยกเว้นคนที่ผิวมัน ควรใช้กับแปรงขนาดใหญ่ปลายมนสำหรับปัดแก้ม โดยเฉพาะจะช่วยให้เราสามารถเกลี่ยสีของบรัชออนได้เรียบเนียนยิ่งขึ้น เวลาปัดให้ใช้แปรงแตะที่เนื้อบรัชออน และเคาะเบาๆเพื่อให้ส่วนเกินหลุดออก ก่อนปัดแก้มให้ยิ้มค้างไว้แล้วใช้แปรงปัดเบาๆ จากจุดนูนสูงสุดของแก้มไปสู่ขมับ
- บรัชออนชนิดเจล จะเหมาะสำหรับ สาวผิวมัน-ผิวผสม หลังจากลงรองพื้น ให้แต้มบลัชเจลลงบนแก้มแล้วใช้นิ้วเกลี่ยให้สีกระจายอย่างรวดเร็ว ข้อดีของบรัชออนชนิดเจลคือ จะติดทนนาน สีเรียบเนียนสนิทกับผิว เสมือนธรรมชาติสร้างมา แต่ข้อเสียคือ กะปริมาณยาก แห้งเร็วและเป็นคราบง่ายมากเวลาใช้ ควรลงทีละข้าง ไม่เช่นนั้นแก้มจะเป็นจ้ำๆเหมือนยุงกัด
- บรัชออนชนิดครีม ครีม จะเหมาะสำหรับ สาวผิวผสม-ผิวแห้ง วิธีใช่จะเช่นเดียวกับการลงรองพื้นแบบเจล คือลงหลังจากทารองพื้นแล้ว ยกเว้นบางยี่ห้อสามารถลงบลัชครีมหลังจากทาแป้งได้เลย ลองสอบถามจากบีเอของยี่ห้อนั้นๆได้ ข้อดีของบรัชออนชนิดครีมคือ ติดทนพอสมควร ให้ความชุ่มชื่นแก่ผิว ดูเป็นธรรมชาติ ข้อเสียคือ กะปริมาณยาก แม้จะแห้งช้ากว่าแบบเจล แต่ก็มีโอกาสเป็นคราบและสีไม่สม่ำเสมอ
- บรัชออนชนิดน้ำ บรัชออนชนิดนี้จะซึมผ่านผิวโดยไม่ทิ้งคราบมันเอาไว้ แต่ต้องใช้ความเร็วในการทา เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนผิวมัน ใช้ทาก่อนลงรองพื้นหรือแป้งฝุ่น ไม่เหมาะสำหรับคนที่มีพื้นฐานสีผิวออกไปทางโทนแดงและผิวแห้งหยาบกร้าน เพราะจะทำให้ดูเหมือนโดนแดดเผามาหลายวัน อีกทั้งยังเน้นให้เห็นรอยหยาบและเหี่ยวย่นชัดเจนยิ่งขึ้น เทคนิคง่ายๆ ถ้าอยากแก้มใสเหมือนอมเลือดฝาด ให้หยดมอยสเจอไรเซอร์สักหยดสองหยด etude houseผสมกับบรัชออนชนิดนี้ จะช่วยให้คุณเกลี่ยสีที่แก้มได้ง่ายและสะดวกแถมยังดูกลมกลืนเป็นธรรมชาติ
วิธีการใช้บรัชออน
ควรเริ่มจากการรู้จักรูปหน้า ของตัวเอง ดูว่าโหนกแก้มสูงไป หรือว่าหน้าแบนไป และกฎสำคัญก็คือ ทุกๆอย่างให้ง่ายเข้าไว้ พร้อมกับลงทุนซื้อแปรงปัดแก้มดีๆ
1. ยืนหน้ากระจก และยิ้ม เอามือแตะแก้มบริเวณที่ต้องโดนหมอนเวลานอน จุดนั้นแหละจุดเริ่ม
2. ปัดสีบรัชออนวนเป็นวง อย่าลืมเคาะแปรงหนึ่งทีก่อนทาบลัช
3. ปัดแปรงขึ้น ปัดแปรงลง
4. ถ้าต้องการใบหน้าของเด็กสาวอ่อนวัย แตะแปรงบรัชออนไปตรงหน้าผาก สันจมูกและคาง เพื่อช่วยสะท้อนแสง
อย่างไรก็ตาม กฎทั่วไปในการเลือกบลัชเชอร์คือเลือกเฉดสีที่เข้ากันได้ดีกับโทนสีผิวของคุณ คุณอาจเลือกสีที่อ่อนกว่า หรือเข้มกว่าก็ได้ตามเทรนด์แฟชั่น
ลบรอยสิว ให้เป็นหน้าใสๆ ด้วยวิธีธรรมชาติ
ผู้หญิงเราใบหน้าเป็นสิ่งสำคัญยิ่งถ้าคุณมีปัญหากับผิวหน้าด้วยแล้วก็จะทำ ให้คุณไม่มั่นใจ วันนี้เรามีเคล็ดลับดีๆ จากธรรมชาติที่ช่วยให้ผิวหน้าของคุณสวยใส ได้ตลอดเวลามาฝากกันค่ะ
ปัญหา ของผิวหน้าที่เกิดกับผู้หญิงเรานั้นดูจะมีเยอะเสียจริงๆ แต่หนึ่งปัญหาที่พบได้บ่อยสำหรับคุณผู้หญิง คือ รอยสิว ที่มักจะเป็นได้บ่อยและเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ..
สิ่ง เหล่าอาจจะกวนใจคุณเวลาแต่งหน้า และก็ทำให้ผิวไม่เรียบเนียน และทำให้ไม่มั่นใจมากยิ่งขึ้นเมื่อต้องเจอกับผู้คนมากๆ สูตรลบรอยสิว ให้เป็นหน้าใสๆ ด้วยวิธีธรรมชาติ ช่วยให้คุณมีผิวที่ขาว ใส รอยสิวต่างๆ เหมือนใช้ครีมหน้าใส ดูจางลงได้ง่ายๆ แต่เราต้องบอกก่อนว่าสูตรธรรมชาตินั้นคุณสาวๆ อาจจะต้องใช้เวลา และความขยันกันสักนิด ถึงจะเห็นผล ดังนั้น อย่าละเลยกับใบหน้าของคุณเป็นอันขาด งั้นเราไปดูสูตรสำหรับลบรอยสิวของคุณสาวๆ กันเลยดีกว่าค่ะ
1. เปรี้ยวจี๊ดช่วยได้
มัน คือมะนาวนั่นเอง ผลไม้แสนเปรี้ยวนี้มีกรดผลไม้หรือ เอเอชเอ (AHA, Alpha Hydroxy Acid) ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นกรด มันก็จะต้องมีฤทธิ์กัดกร่อน แต่ด้วยความเป็นกรดอ่อน และเป็นกรดธรรมชาติ ฤทธิ์เดชต่างๆ จึงไม่ได้รุนแรงอะไรมากมาย เราสามารถนำมาใช้ประโยชน์ลดรอยหลงเหลือจากสิวได้โดยการนำสำลีพันปลายไม้ จุ่มลงในน้ำมะนาว จากนั้นนำไปนวดถูเบาๆ ที่รอยสิวให้ทั่วกรดจะจัดการทำให้เซลล์ผิวด้านนอกสุดอ่อนตัวลง จากนั้นทิ้งเอาไว้ราวๆ 20 นาทีแล้วค่อยล้างผิวด้วยน้ำธรรมดา ทำแบบนี้บ่อยๆ จนกว่ารอยจะจางลง ไม่ใช่ว่าครั้งเดียวจะหายนะจ๊ะ
2. ยอดผลไม้สีแดงสด
ผล ไม้สีแดงอย่างมะเขือเทศ มีประโยชน์มากมาย ทั้งมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ มีซีลีเนียมที่ช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์ มีวิตามินซีจำนวนมาก และอีกมากมาย เราสามารถนำมะเขือเทศนี้มาลดรอยสิวได้ง่ายๆ โดยการนำมาผ่าครึ่ง จากนั้นก็เอาด้านเนื้อถูเบาๆ กับรอยสิวที่มีอยู่สัก 20 นาที มะเขือเทศจะช่วยทั้งทำให้รอยสิวอ่อนลง และช่วยทำให้ผิวยืดหยุ่นดีขึ้น จากนั้นก็ล้างน้ำออก
3. ไข่ขาว
ไข่ ขาว ที่ไม่ใช่ไข่แดงนี่แหละค่ะ ใช้สำลีพันปลายไม้เช่นกัน จุ่มเฉพาะไข่ขาวนำมานวดกับรอยที่หลงเหลือจากการเป็นสิว ไข่ขาวเป็นยาชั้นดีที่สามารถจัดการกับรอยสิวเก่าๆ ได้ดีและทำให้จางลงได้มากลองดูนะคะ
4. น้ำแตงกวา
ผัก สีเขียว เป็นที่รู้กันดีว่าอุดมไปด้วยวิตามินเอ แตงกวาก็เช่นเดียวกันสามารถลดการอักเสบและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว แต่ความพิเศษอย่างหนึ่งของแตงกวาก็คือ ไม่มีความเป็นกรดอยู่ในตัวดังนั้นจึงไม่มีฤทธิ์
ใน การกัดผิว ไม่ทำให้เกิดการแพ้ และไม่จำเป็นต้องรีบล้างออกหลังจากสัมผัสแล้ว จึงสามารถที่จะทิ้งไว้บนหน้านานๆ ได้ (เอ่อ... บางคนเผลอทิ้งไว้แล้วหลับก็พอได้)
5. ไม่ใช่ร้านขนมปังแต่ใช้เบคกิ้งโซดาช่วยได้
เบคกิ้ง โซดา (Baking soda) มีชื่อทางเคมีว่า โซเดียมไบคาร์บอเนต (Sodium bicarbonate) เป็นสารเคมีที่ใช้ช่วยให้ขนมปังต่างๆ ฟูฟ่องได้ แต่ยังเป็นที่นิยมใช้ในการลดรอยจากสิวได้อีก เบคกิ้งโซดาจะช่วยทำให้รูขุมขนหายอุดตัน ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิวอักเสบและยังช่วยลอกผิวได้อีกด้วย (ดูบทความเรื่อง "การลอกผิวด้วยสารเคมี" คลิกที่นี่) วิธีใช้ให้เอาเบคกิ้งโซดาผสมกับน้ำจนมีลักษณะเป็นครีมแล้วป้ายลงบนบริเวณที่ เป็นรอยแผลจากสิว ทิ้งไว้ 2-3 นาทีจากนั้นล้างออกให้หมด ทำแบบนี้วันละสองครั้งจนกว่ารอยจะจางไปค่ะ
6. สูตรหวานปานน้ำผึ้ง
นอก จากหวาน กินอร่อย เป็นน้ำตาลจากธรรมชาติแล้วก็ยังช่วยเรื่องการลดรอยแผลจากสิวได้อีก น้ำผึ้งเป็นยาช่วยทำความสะอาดทั้งผิวและรูขุมขนชั้นดีชนิดหนึ่งเลย ให้ใช้น้ำอุ่นจัดทำความสะอาดผิวหน้าก่อนจากนั้นทำให้ผิวแห้งลงโดยเร็ว (เป่าด้วยลมก็ได้) วิธีการนี้จะเป็นการเปิดรูขุมขนและทำให้น้ำผึ้งสามารถแทรกซึมเข้าไปได้ ทาน้ำผึ้งให้ทั่วบริเวณทั้งตรงจุดที่เป็นรอยจากสิวและบริเวณรอบๆ จากนั้นรอสัก 20 นาทีแล้วล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นมากหน่อย แล้วทำหน้าให้แห้งอีกครั้งแล้วเอาน้ำแข็งก้อนลูบให้ทั่วผิวหน้าเพื่อเป็นการ ปิดรูขุมขน วิธีการนี้จะไม่สามารถลดรอยแผลจากสิวได้ทั้งหมดด้วยการทำเพียงครั้งเดียว หรอกนะคะ แต่ถ้าทำเป็นประจำล่ะก็จะช่วยแก้รอยสิวให้ลดลงได้เลยทีเดียว
เป็นอย่างไรบ้างคะ สำหรับสูตรแบบธรรมชาติสุดๆ เหมือนใช้ครีมหน้าใส ที่จะสามารถช่วยลดรอยแผลที่หลงเหลือจากสิวให้จางลงได้ โดยสามารถใช้ร่วมกันได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะแพ้หรือ "ตีกัน" ยกเว้นผู้ที่แพ้วัตถุใดวัตถุหนึ่งโดยเฉพาะ ก็จะต้องหลีกเลี่ยงสิ่งนั้นๆ นะคะ การเลือกวิธีก็ขึ้นกับความสะดวกและเหมาะสมของสาวๆ แต่ละคน บางคนอาจจะมีน้ำผึ้ง มีมะนาว ไม่มีแตงกวา ไม่มีมะเขือเทศ ก็เลือกใช้วิธีที่ใช้น้ำผึ้ง กับมะนาว ได้เป็นต้น นอกจากวิธีธรรมชาติแล้ว ก็ยังมีวิธีที่ใช้ยา ครีม ในการช่วยแก้รอยสิว รอยแผลจากสิวอีก
ที่มา..108health.com
เคล็ดลับง่าย ๆ แต่งหน้าให้สวย
ใคร ๆ ก็อยากแต่งหน้าแล้วให้ผิวผ่อง ดูเนียนสวย และแต่งแล้วอยู่ทนได้นาน ไม่ต้องเช็คไม่ต้องเติมเครื่องสำอางกันบ่อย ๆ การแต่งหน้าให้สวยจึงต้องมีเคล็ดลับกันหน่อย วันนี้กระปุกดอทคอมเลยนำเคล็ดลับง่าย ๆ ในการแต่งหน้าให้สวยเป๊ะ มาฝากกันค่ะ
1. อุปกรณ์แต่งหน้าต้องมีคุณภาพ
อุปกรณ์แต่งหน้าก็มีความสำคัญในขั้นตอนการแต่งหน้าไปไม่น้อยกว่าเครื่องสำอางที่ใช้ เครื่องสําอางเกาหลีหาก คุณมีเครื่องสำอางราคาแพงคุณภาพดี แต่อุปกรณ์ที่ใช้คุณภาพไม่ถึง เช่น ฟองน้ำแต่งหน้าที่เยิน เนื้อหยาบ แปรงปัดแก้มที่ขนแข็งเกินไป หรือนิ่มเกินไป ก็ไม่สามารถแต่งหน้าออกมาให้เนียนสวยกริบได้ ลงทุนกับชุดอุปกรณ์แต่งหน้าดี ๆ สักชุด เมื่อใช้แล้วก็เก็บรักษาให้ถูกวิธี และหมั่นทำความสะอาดสม่ำเสมอ ก็จะช่วยให้การแต่งหน้าของคุณแต่งได้ง่ายขึ้นและสวยกว่าเดิมแน่
2. การปกปิดคือหัวใจสำคัญ
การปกปิดจุดบกพร่อง ทั้งรอยสิว หรือจุดด่างดำบนผิว เป็นหัวใจสำคัญของการแต่งหน้าให้สวย สาว ๆ บางคนแค่ปรับผิวให้เนียนใส ก็ดูสวยได้โดยไม่ต้องแต่งหน้าเพิ่มเลยด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นนางเอกของเราก็คือ "คอนซีลเลอร์" นั่นเอง หากอยากจะปกปิดจุดด่างดำให้เรียบเนียน ให้เลือกใช้คอนซีลเลอร์ที่สีอ่อนกว่าผิวของคุณเล็กน้อย แต้มเฉพาะตรงจุดด่างดำที่ต้องการปกปิด จากนั้นค่อย ๆ แตะซับ เบลนให้มันกระจายตัวออกไป และกลืนเข้ากับสีผิวบริเวณรอบ ๆ รอให้เซ็ตตัวสักนิด แล้วทารองพื้นทั่วทั้งใบหน้าอีกครั้ง เท่านี้ก็จะได้ผิวหน้าที่เนียน กระจ่างใส ไร้ริ้วรอยแล้ว
3. ปัดแป้งอัดแข็งผสมรองพื้นหลังการใช้บลัชและบรอนเซอร์
รองพื้นประเภทแป้งอัดแข็ง จะให้ความบางเบากว่าที่เป็นเนื้อครีม แต่ก็ยังให้การปกปิด และความเรียบเนียนที่ดีได้ด้วย เพื่อประสิทธิภาพในการแต่งหน้าอย่างสูงสุด หลังจากปัดแก้มเพื่อเติมความระเรื่อ และปัดบรอนเซอร์เพื่อสร้างมิติ ทำให้ใบหน้าเป็นประกายอมแดดดูสุขภาพดีแล้ว ให้ใช้แปรงแตะแป้งอัดแข็งผสมรองพื้นปัดทั่วใบหน้าทับอีกครั้ง สีบลัชที่เพิ่งปัดก็จะไม่จัดเกินไป ส่วนบรอนเซอร์เครื่องสําอางเกาหลีก็จะดร็อปลงเล็กน้อย แต่กลืนเข้ากับผิวได้เป็นอย่างดี ทั้งยังช่วยให้เครื่องสำอางติดทนมากขึ้นด้วย
ทุกเคล็ดลับนี้ไม่ใช่เรื่องยากเลยใช่ไหมคะ แค่ใส่ใจ พิถีพิถันเพิ่มสักนิด บวกกับเติมเทคนิคการแต่งหน้าลงไปอีกหน่อย ก็ช่วยให้คุณแต่งหน้าได้สวยเป๊ะแล้วล่ะค่ะ
ที่มา..guru.thaibizcenter.com
วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
มอยเจอร์ไรเซอร์คือ...??
มอ
ยเจอร์ไรเซอร์ คืออะไร เป็นคำถามที่คุณสาวๆ ถามกันมาเยอะมาก เพราะเดี๋ยวนี้
"มอยเจอร์ไรเซอร์" มีมากมายหลายยี่ห้อ หลากหลายผลิตภัณฑ์ ทำให้คุณสาวๆ
บางท่านไม่รู้ด้วยซ้ำว่า "มอยเจอร์ไรเซอร์" คืออะไรกันแน่...
วันนี้ เราจะมาเฉลยว่า "มอยเจอร์ไรเซอร์" คืออะไร "มอยส์เจอร์ไรเซอร์" (Moisturizer) คือ สารทาภายนอกที่สามารถเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนังได้ อาจมีอยู่หลายรูป เช่น ครีม โลชั่น ขี้ผึ้ง etude house เป็นต้น ส่วนประกอบของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ มีดังนี้
1. สารปิดกั้นไม่ให้น้ำซึมผ่าน (Occlusive)
2. สารที่ช่วยดูดซับน้ำ (Humectant)
3. สารออกฤทธิ์ชนิดอื่นๆ
ซึ่งผสมในมอยส์เจอร์ไรเซอร์เพื่อ ให้มีคุณสมบัติอื่นเพิ่มมากขึ้นจากการให้ความชุ่มชื้นเพียงอย่างเดียว ที่นิยมได้แก่ สารกันแดด สารกลุ่ม AHA ซึ่งช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกให้เร็วขึ้น สารที่ช่วยให้ผิวขาวขึ้น เช่น วิตามิน C, E, Niacinamide etude house เป็นต้น
มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ดีควรมีคุณสมบัติ คือ
สามารถลดการสูญเสียน้ำจากผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวชุ่มชื้นเรียบเนียนขึ้น ดูดซึมเร็ว ออกฤทธิ์ทันที และอยู่ได้นานบนผิวหนังโดยไม่ต้องทาซ้ำหลายครั้ง ไม่ก่อให้เกิดการแพ้หรือระคายเคืองและมีราคาไม่แพง
ได้ทราบกันแล้วนะคะว่า "มอยเจอร์ไรเซอร์" คืออะไร...?? ฉะนั้นแล้วคุณสาวๆ ไม่ควรพลาดที่จะดูแลผิวตัวเองตั้งแต่เนิ่นๆ ด้วย "มอยเจอร์ไรเซอร์" กันตั้งแต่ตอนนี้นะคะ ก่อนที่ผิวเราจะขาดความชุ่มชื่น
ที่มา..108health.com
วันนี้ เราจะมาเฉลยว่า "มอยเจอร์ไรเซอร์" คืออะไร "มอยส์เจอร์ไรเซอร์" (Moisturizer) คือ สารทาภายนอกที่สามารถเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนังได้ อาจมีอยู่หลายรูป เช่น ครีม โลชั่น ขี้ผึ้ง etude house เป็นต้น ส่วนประกอบของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ มีดังนี้
1. สารปิดกั้นไม่ให้น้ำซึมผ่าน (Occlusive)
2. สารที่ช่วยดูดซับน้ำ (Humectant)
3. สารออกฤทธิ์ชนิดอื่นๆ
ซึ่งผสมในมอยส์เจอร์ไรเซอร์เพื่อ ให้มีคุณสมบัติอื่นเพิ่มมากขึ้นจากการให้ความชุ่มชื้นเพียงอย่างเดียว ที่นิยมได้แก่ สารกันแดด สารกลุ่ม AHA ซึ่งช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกให้เร็วขึ้น สารที่ช่วยให้ผิวขาวขึ้น เช่น วิตามิน C, E, Niacinamide etude house เป็นต้น
มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ดีควรมีคุณสมบัติ คือ
สามารถลดการสูญเสียน้ำจากผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวชุ่มชื้นเรียบเนียนขึ้น ดูดซึมเร็ว ออกฤทธิ์ทันที และอยู่ได้นานบนผิวหนังโดยไม่ต้องทาซ้ำหลายครั้ง ไม่ก่อให้เกิดการแพ้หรือระคายเคืองและมีราคาไม่แพง
ได้ทราบกันแล้วนะคะว่า "มอยเจอร์ไรเซอร์" คืออะไร...?? ฉะนั้นแล้วคุณสาวๆ ไม่ควรพลาดที่จะดูแลผิวตัวเองตั้งแต่เนิ่นๆ ด้วย "มอยเจอร์ไรเซอร์" กันตั้งแต่ตอนนี้นะคะ ก่อนที่ผิวเราจะขาดความชุ่มชื่น
ที่มา..108health.com
แก้ปัญหาหลุมสิว ที่ผิวหน้า
สิว
ปัญหากวนใจที่ทำให้ผิวหน้าของเราดูไม่เรียบเนียน
และทำให้ไม่มั่นใจเวลาต้องแต่งหน้าเพราะกลัวว่าสิ่งสกปรกต่างๆ
จะเข้าไปอุดตันกลายเป็นสิวอักเสบได้ง่าย
สิวบนผิวหน้าปัญหาใหญ่ที่มักจะก่อกวนคุณตลอดเวลา ต่อให้คุณเคลียร์กันไปหลายรอบแล้วก็ตาม ต่อให้สิวหายปัญหาอื่นก็มีมาอีก ...
หลุมสิวก็เป็นอีกหนึ่งปัญหากวนใจที่คุณแก้ไขไม่ได้เสีย วันนี้เราเคล็ดลับดีๆ ครีมหน้าใสที่ช่วยแก้ไขหลุมสิวของคุณให้หายได้ไวขึ้นมาบอกกันค่ะ
โดย ทั่วไปแล้ว หลุมสิวเกิดจากการอักเสบของชั้นผิวบริเวณนั้น เมื่อสิวหายแล้วจึงเกิดการยุบตัวลงไปจนเป็นหลุมสิวที่มักจะเกิดหลุมและทิ้ง ร่องรอยไว้ คือ สิวอักเสบเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งบางทีก็อาจจะมาจากพฤติกรรมการบีบ เค้น แคะของเราด้วยในส่วนหนึ่ง
วิธี แก้ปัญหาหลุมสิวแก้อย่างไรให้หลุม ร่องหายเป็นปลิดทิ้ง •ทำการรักษาด้วยตนเองเบื้องต้น เช่น การทายาที่สามารถกระตุ้นเซลล์ผิวให้มีการซ่อมแซมแผล ริ้วรอย เช่น วิตามินอี , เอเอชเอ , บีเอชเอ และการกินยาที่ประกอบไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ คอลลาเจน เป็นต้น ซึ่งเป็นไปได้อาจช่วยบรรเทาให้ผิวหน้าดีขึ้นได้ในส่วนหนึ่งเท่านั้น
•ทำ การรักษาด้วยเครื่องมือแพทย์แบบต่าง ๆ เพื่อ ช่วยบรรเทาหรือช่วยเร่งให้มีการผลัดเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทน อาทิ กลิ้งเดอร์มาโรลเลอร์ การใช้เลเซอร์ลำแสงแบบต่าง ๆ เช่น IPL , PHONO , การกรอผิว ด้วยเกร็ดอัญมณีหรือการทำ Fraxel Laser ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกหนึ่งที่เห็นผลดี แต่ยังมีราคาค่อนข้างสูง
•ทาง แก้ปัญหาที่ดีที่สุด คือ การใช้วิธีแบบทำควบคู่กันไป ทั้งการกินยา ทายาและเข้ารับการรักษาด้วยเครื่องมือแพทย์ เพื่อผลลัพธ์ที่ถูกต้องปลอดภัยภายใต้การดูแลและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
ป้องกันแต่เนิ่นๆ ไม่ให้เกิดหลุมสิว
ไม่ พยายามบีบ เค้น แคะ สิวที่กำลังอักเสบอยู่ เป็นไปได้ควรใช้ยาหรือไปพบคุณหมอเพื่อปรึกษาและทำการรักษาตามขั้นตอน ทำความสะอาดผิวหน้าทุกครั้งก่อนนอน หากเป็นสิวบ่อย ๆ ควรทายาฆ่าเชื้อสิวทิ้งไว้ก่อนล้างหน้า 10 นาที แล้วจึงล้างออกเพื่อลดการเกิดสิว ดื่มน้ำและรับประทานอาหารที่บำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ เช่น ครีมหน้าใส ผัก ผลไม้ที่มีวิตามินเอ อี ซี หรือคอลลาเจน
ยัง ไงก็ตามสาว ๆ ไม่ควรเครียดและกังวลกับหลุมสิวและร่องรอยแผลเป็นมากจนเกินไปนะคะ ค่อยๆ รักษาและหมั่นดูแลผิวหน้าบริเวณที่มีปัญหาไปตามระยะเวลาที่คุณหมอหรือผู้ เชี่ยวชาญได้กำหนดไว้ เท่านั้นก็เพียงพอแล้วค่ะ
ที่มา..108health.com
สิวบนผิวหน้าปัญหาใหญ่ที่มักจะก่อกวนคุณตลอดเวลา ต่อให้คุณเคลียร์กันไปหลายรอบแล้วก็ตาม ต่อให้สิวหายปัญหาอื่นก็มีมาอีก ...
หลุมสิวก็เป็นอีกหนึ่งปัญหากวนใจที่คุณแก้ไขไม่ได้เสีย วันนี้เราเคล็ดลับดีๆ ครีมหน้าใสที่ช่วยแก้ไขหลุมสิวของคุณให้หายได้ไวขึ้นมาบอกกันค่ะ
โดย ทั่วไปแล้ว หลุมสิวเกิดจากการอักเสบของชั้นผิวบริเวณนั้น เมื่อสิวหายแล้วจึงเกิดการยุบตัวลงไปจนเป็นหลุมสิวที่มักจะเกิดหลุมและทิ้ง ร่องรอยไว้ คือ สิวอักเสบเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งบางทีก็อาจจะมาจากพฤติกรรมการบีบ เค้น แคะของเราด้วยในส่วนหนึ่ง
วิธี แก้ปัญหาหลุมสิวแก้อย่างไรให้หลุม ร่องหายเป็นปลิดทิ้ง •ทำการรักษาด้วยตนเองเบื้องต้น เช่น การทายาที่สามารถกระตุ้นเซลล์ผิวให้มีการซ่อมแซมแผล ริ้วรอย เช่น วิตามินอี , เอเอชเอ , บีเอชเอ และการกินยาที่ประกอบไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ คอลลาเจน เป็นต้น ซึ่งเป็นไปได้อาจช่วยบรรเทาให้ผิวหน้าดีขึ้นได้ในส่วนหนึ่งเท่านั้น
•ทำ การรักษาด้วยเครื่องมือแพทย์แบบต่าง ๆ เพื่อ ช่วยบรรเทาหรือช่วยเร่งให้มีการผลัดเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทน อาทิ กลิ้งเดอร์มาโรลเลอร์ การใช้เลเซอร์ลำแสงแบบต่าง ๆ เช่น IPL , PHONO , การกรอผิว ด้วยเกร็ดอัญมณีหรือการทำ Fraxel Laser ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกหนึ่งที่เห็นผลดี แต่ยังมีราคาค่อนข้างสูง
•ทาง แก้ปัญหาที่ดีที่สุด คือ การใช้วิธีแบบทำควบคู่กันไป ทั้งการกินยา ทายาและเข้ารับการรักษาด้วยเครื่องมือแพทย์ เพื่อผลลัพธ์ที่ถูกต้องปลอดภัยภายใต้การดูแลและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
ป้องกันแต่เนิ่นๆ ไม่ให้เกิดหลุมสิว
ไม่ พยายามบีบ เค้น แคะ สิวที่กำลังอักเสบอยู่ เป็นไปได้ควรใช้ยาหรือไปพบคุณหมอเพื่อปรึกษาและทำการรักษาตามขั้นตอน ทำความสะอาดผิวหน้าทุกครั้งก่อนนอน หากเป็นสิวบ่อย ๆ ควรทายาฆ่าเชื้อสิวทิ้งไว้ก่อนล้างหน้า 10 นาที แล้วจึงล้างออกเพื่อลดการเกิดสิว ดื่มน้ำและรับประทานอาหารที่บำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ เช่น ครีมหน้าใส ผัก ผลไม้ที่มีวิตามินเอ อี ซี หรือคอลลาเจน
ยัง ไงก็ตามสาว ๆ ไม่ควรเครียดและกังวลกับหลุมสิวและร่องรอยแผลเป็นมากจนเกินไปนะคะ ค่อยๆ รักษาและหมั่นดูแลผิวหน้าบริเวณที่มีปัญหาไปตามระยะเวลาที่คุณหมอหรือผู้ เชี่ยวชาญได้กำหนดไว้ เท่านั้นก็เพียงพอแล้วค่ะ
ที่มา..108health.com
หัดเมคอัพดวงตาแบบ step by step
ดวง ตาจัดเป็นองค์ประกอบสำคัญบนใบหน้า เป็นส่วนที่สื่อถึงอารมณ์ความรู้สึกของคุณได้เป็นอย่างดี ในการแต่งหน้าคุณผู้หญิงจึงควรจะพิถีพิถัน ใส่ใจในการเมคอัพดวงตา แต่งมาสวยก็ช่วยให้กล้าสบตาคนอื่น ๆ ด้วยความมั่นใจ แต่หากแต่งพลาดไป ก็อาจทำให้ทั้งใบหน้าดูจืดไปได้ เพื่อไม่ให้พลาดในการนี้ ลองมาดูวิธีเมคอัพดวงตาแบบฟูลออพชั่น ทีละขั้นตอนกันเลยค่ะ
1. ปรับสีผิวรอบดวงตา
เริ่มต้นด้วยการปรับสีผิวรอบ ๆ ดวงตาให้สม่ำเสมอกัน โดยการใช้คอนซีลเลอร์ เพราะผู้หญิงหลาย ๆ คน มีปัญหาที่บริเวณใต้ดวงตาและเหนือยรอยพับเปลือกตา ที่คล้ำกว่าสีผิวส่วนอื่น ๆ ของใบหน้า ทำให้ดวงตารวมทั้งใบหน้าดูโทรมและอิดโรย เมื่อลงคอนซีลเลอร์เครื่องสําอางเกาหลี ดีแล้ว ปัดแป้งฝุ่นตามเบา ๆ เพื่อให้คอนซีลเลอร์เซ็ตตัว
2. แต่งด้วยอายแชโดว์
การทาอายแชโดว์สามารถทำได้หลายแบบหลายสไตล์ ขึ้นอยู่กับความชื่นชอบของแต่ละคน หากเป็นสไตล์ที่กำลังนิยมอยู่ตอนนี้ เห็นจะหนีไม่พ้นการแต่งแนวสโมคกี้อาย หรือว่านู้ดอาย อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะทาอายแชโดว์สไตล์ไหน อย่าลืมหลักสำคัญที่ว่า ให้เลือกใช้สีเข้มที่ด้านข้างของเปลือกตา และตรงกลางจะต้องมีสีอ่อนกว่าเสมอ นอกจากนี้ยังต้องเบลนสีให้กลมกลืนกันดีด้วย
3. ปัดมาสคาร่าและเขียนขอบตาด้านใน
ต้องการขนตาที่สวยเด้ง ให้เริ่มจากปัดขนตาด้วยเครื่องสําอางเกาหลี มาสคาร่าแบบใส ซึ่งมาสคาร่าประเภทนี้จะช่วยให้ขนตาดูเส้นใหญ่และแข็งแรงขึ้น จากนั้นจึงปัดด้วยมาสคาร่าที่คุณต้องการใช้จริง ๆ ทั้งที่ขนตาบนและขนตาล่าง เมื่อมาสคาร่าแห้งดีแล้ว จึงเขียนขอบตาด้านใน โดยสีที่เลือกใช้ต้องแมทช์กับสีของอายไลน์เนอร์ที่จะใช้ในลำดับต่อไปด้วย
4. เขียนอายไลน์เนอร์
ไอเท็มหนึ่งที่สาว ๆ ในยุคนี้ดูจะขาดเสียไม่ได้ในการแต่งหน้า ก็คืออายไลน์เนอร์ เลือกอายไลน์เนอร์ประเภทที่ใช้ถนัด และเขียนในสไตล์ที่ต้องการ และเพื่อความเนี้ยบของการเมคอัพดวงตา ต้องไม่ลืมว่าเส้นอายไลน์เนอร์จะต้องอยู่ชิดแนวขนตามากที่สุดด้วย
5. แต่งขนคิ้ว
เมื่อแต่งส่วนของดวงตาเสร็จเรียบร้อยแล้วก็มาปิดท้ายกันที่ขนคิ้ว ที่จะต้องกันมาแล้วให้ได้ทรงสวยงาม จะใช้ดินสอเขียนคิ้วเขียนโดยการวางมือทำมุม 45 องศากับคิ้ว เพื่อให้เส้นที่ลากลงไปดูนุ่มนวลเป็นธรรมชาติ หรือว่าจะใช้ที่เขียนคิ้วชนิดฝุ่นดูก็ได้ โดยมีหลักการใช้ให้เลือกสีที่เขียนคิ้วที่อ่อนกว่าสีผมของคุณเล็กน้อย อันจะช่วยให้ใบน้าสดใสขึ้น
ที่มา..guru.thaibizcenter.com
วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
จะเลือกเขียนขอบบตาแบบไหนดี
บางครั้งสาว ๆ ก็เกิดข้อสงสัยเวลานั่งอยู่หน้ากระจก ตอนแต่งหน้าว่า ควรเขียนตาแบบไหนดี เรามีคำตอบให้ค่ะ สำหรับ สาว ๆ ตาโต ควรเลือกเขียนอายไลเนอร์ แค่เพียงบาง ๆ ก็พอนะคะ เพราะดวงตาที่กลมโต ก็เด่นอยู่แล้วค่ะ เขียนเพียงบาง ๆ ให้ดวงตาดูสวยซึ้งขึ้นกว่าเดิมค่ะ ส่วนสาว ๆ ตาเล็ก หรือสาวหมวยก็ไม่ต้องน้อยใจไปนะคะ เพียงแค่เขียนอายไลเนอร์ให้เส้นหนาขึ้นหน่อยเท่านั้นเองค่ะ ดวงตาก็จะดูโตขึ้น
ถ้าสาว ๆ คนไหนเบื่อการเขียนอายไลเนอร์แบบธรรมดา ๆ แล้วล่ะก็ เรามีวิธีเขียนอายไลเนอร์แบบต่าง ๆ มาให้etude houseเลือกเอาไปใช้กันค่ะ
ถ้าสาว ๆ อยากให้ดวงตาสวยซึ้ง ลองเขียนอายไลเนอร์เป็นเส้นคม ๆ ตวัดที่หางตาขึ้นเล็กน้อย ตามด้วยเพิ่มความเข้ม และหนาให้ขนตาด้วยการปัดมาสคาร่าค่ะ
ถ้าวันไหนเกิดอยากเป็นสาวเฉี่ยว ไว้โฉบตามงานปาร์ตี้ล่ะก็ ลองเขียนที่หางตาให้เฉียงขึ้นเล็กน้อยนะคะ หรือไม่ก่อนลองเปลี่ยนสีอายไลเนอร์เป็นสีสันสดใส รับรองค่ะว่า เฉี่ยวสมใจค่ะ
และสุดท้ายถ้าอยากลองเป็นสาวนัยน์ตาคมเข้ม ก็แค่เพิ่มความหนาของเส้นอายไลเนอร์etude houseที่เขียนเพิ่มขึ้นอีกนิด แค่นี้ก็เป็นสาวนัยน์ตาสวยกลมคมเข้มแล้วล่ะค่ะ
ทั้งหมดก็เป็นทริกเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เรานำมาเสนอค่ะ อ่อลืมบอกไปว่า ขอบตาล่างนั้นจะเขียนหรือไม่เขียนก็ได้นะคะ ขึ้นอยู่กับสไตล์ที่เราชอบค่ะ
ขอเน้นกันอีกสักครั้งนะคะ สาว ๆ คนไหนที่เพิ่งเริ่มหัดเขียน ใจเย็น ๆ นะคะ เพราะการเขียนอายไลเนอร์ นั้นไม่ยาก และไม่ง่ายเกินไปค่ะ อยู่ที่เราฝึกฝน และความชำนาญค่ะ สู้ ๆ นะคะ
5 วิธีทำให้ผิวขาว เพื่อบอกลาผิวหมองคล้ำ
วิ
ธิทำให้ผิวขาวของคุณผู้หญิงนั้นดูจะยากเสียจริงๆ เลยน่ะค่ะ
ที่จะให้คุณผู้หญิงมีผิวขาวอยู่ตลอดเวลา
วันนี้เราเลยวิธีที่จะช่วยให้ผิวของคุณผู้หญิงนั้นขาวได้ตลอดไปค่ะ
งั้นเราไปรู้วิธีทำให้ผิวขาวกันเลยค่ะ
วิธิทำให้ผิวขาวของคุณผู้หญิงนั้นดูจะยากเสียจริงๆ เลยน่ะค่ะ ที่จะให้คุณผู้หญิงมีผิวขาวอยู่ตลอดเวลา วันนี้เราเลยวิธีที่จะช่วยให้ผิวของคุณผู้หญิงนั้นขาวได้ตลอดไปค่ะ งั้นเราไปรู้วิธีทำให้ผิวขาวกันเลยค่ะ
วิธี ทำให้ผิวขาวของคุณผู้หญิงนั้นไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิดหรอกค่ะ ยิ่งถ้าคุณผู้หญิงนำเคล็กลับดีๆ ที่เราจะนำมาบอกกันวันนี้ไปทำแล้วล่ะก็จะช่วยให้คุณมีผิวที่ขาวขึ้นได้ค่ะ งั้นเราดูวิธีทำให้ผิวขาวอย่างธรรมชาติกันเลยดีกว่าค่ะ
1. วิตามินซี : วิตามินซีครีมหน้าใสจะ มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดการอักเสบ และลดการทำงานของเอมไซม์ที่ผลิตเม็ดสีผิวจึงช่วยลดจุดด่างดำและปรับสีผิวที่ หมองคล้ำลงจากแสงแดดให้ขาวขึ้นได้ ดังนั้นจึงเป็นสารอาหารที่ร่างกายควรได้รับอยู่เสมอ วิตามินซีส่วนใหญ่จะมีมากในผักผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม ฝรั่ง มะนาว ฯลฯ หรือหากได้รับในแต่ละวันไม่เพียงพออาจซื้อวิตามินซี ชนิดเม็ดที่ขายในร้านขายยาทั่วไปมาทานเพิ่มก็ได้
2. น้ำนม : น้ำนมจะอุดมไปด้วยสารอาหารแร่ธาตุที่ดีต่อผิวและมีฤทธิ์กัดกร่อนเซลล์ผิวที่ ตายแล้วของเราให้หลุดออกไป วิธีใช้ นำน้ำนมทาบนผิวกายโดยตรง รอสักพักให้เริ่มแห้งแล้วขัดด้วยใยบวบ
สำหรับ ใบหน้าให้นำน้ำนมมาพอกบนผิวหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผิวจะค่อย ๆ ขาวขึ้น โดยน้ำนมนั้นจะเหมาะสมกับผิวกายมากกว่าผิวหน้า
3. ครีมบำรุงเพื่อผิวขาวและครีมกันแดด : สาวๆ ควรใช้ครีมบำรุงผิวครีมหน้าใสที่ มีไวท์เทนนิ่งทาหลังอาบน้ำเสร็จเป็นประจำ และเพื่อเสริมประสิทธิภาพของครีมบำรุงให้บำรุงอย่างต่อเนื่องควรทาซ้ำก่อน นอน และจำเอา ไว้ให้ขึ้นใจว่า่ก่อนออกจากห้องต้องทาครีมกันแดดก่อน 20 นาที ทุกครั้ง และทาซ้ำอีกทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง
4. การขัดผิว : เป็นการขัดเพื่อให้เซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพหลุดออกไป และเป็นการเผยผิวที่สดใสยิ่งกว่า การขัดผิวนั้นสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นฟองน้ำ ครีม หินขัด หรือ แม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถนำมาใช้ได้ หรืออาจจะใช้สครับที่มีขายตามท้องตลาดทั่วไปก็ได้ สิ่งที่ต้องคำนึงคือ ให้ทำอย่างนิ่มนวล และไม่ควรทำบ่อยจนเกินไป ทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ก็พอ
5. การทานอาหารและออกกำลังกาย : ควรทานผักและผลไม้ทุกมื้อ เพราะผักและผลไม้ช่วยในเรื่องการขับถ่าย และมีแอนตี้อ็อกซิแดนซ์ที่ทำให้ผิวสวยกระชับ เมื่อร่างกายขับถ่ายตามปกติแล้ว หน้าตา ผิวพรรณก็จะสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกายจะช่วยขับเหงื่อไคล และสิ่งสกปรกใต้ผิวรวมถึงสารพิษออกมา ซึ่งจะทำให้ผิวดูสว่างสดใสขึ้น แถมการออกกำลังกายยังช่วยลดการอุดตันของสิ่งสกปรกใต้ผิว ทำให้ไม่มีสิวอีกด้วยค่ะ
วิธีทำให้ผิวขาวเหล่านี้จะช่วยให้คุณผู้หญิง ดูแลตัวเอง และดูแลผิวมากยิ่งขึ้นค่ะ งั้นไปลองวิธีทำให้ผิวขาวกันเลยดีกว่าค่ะ
ที่มา..108health.com
วิธิทำให้ผิวขาวของคุณผู้หญิงนั้นดูจะยากเสียจริงๆ เลยน่ะค่ะ ที่จะให้คุณผู้หญิงมีผิวขาวอยู่ตลอดเวลา วันนี้เราเลยวิธีที่จะช่วยให้ผิวของคุณผู้หญิงนั้นขาวได้ตลอดไปค่ะ งั้นเราไปรู้วิธีทำให้ผิวขาวกันเลยค่ะ
วิธี ทำให้ผิวขาวของคุณผู้หญิงนั้นไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิดหรอกค่ะ ยิ่งถ้าคุณผู้หญิงนำเคล็กลับดีๆ ที่เราจะนำมาบอกกันวันนี้ไปทำแล้วล่ะก็จะช่วยให้คุณมีผิวที่ขาวขึ้นได้ค่ะ งั้นเราดูวิธีทำให้ผิวขาวอย่างธรรมชาติกันเลยดีกว่าค่ะ
1. วิตามินซี : วิตามินซีครีมหน้าใสจะ มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดการอักเสบ และลดการทำงานของเอมไซม์ที่ผลิตเม็ดสีผิวจึงช่วยลดจุดด่างดำและปรับสีผิวที่ หมองคล้ำลงจากแสงแดดให้ขาวขึ้นได้ ดังนั้นจึงเป็นสารอาหารที่ร่างกายควรได้รับอยู่เสมอ วิตามินซีส่วนใหญ่จะมีมากในผักผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม ฝรั่ง มะนาว ฯลฯ หรือหากได้รับในแต่ละวันไม่เพียงพออาจซื้อวิตามินซี ชนิดเม็ดที่ขายในร้านขายยาทั่วไปมาทานเพิ่มก็ได้
2. น้ำนม : น้ำนมจะอุดมไปด้วยสารอาหารแร่ธาตุที่ดีต่อผิวและมีฤทธิ์กัดกร่อนเซลล์ผิวที่ ตายแล้วของเราให้หลุดออกไป วิธีใช้ นำน้ำนมทาบนผิวกายโดยตรง รอสักพักให้เริ่มแห้งแล้วขัดด้วยใยบวบ
สำหรับ ใบหน้าให้นำน้ำนมมาพอกบนผิวหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผิวจะค่อย ๆ ขาวขึ้น โดยน้ำนมนั้นจะเหมาะสมกับผิวกายมากกว่าผิวหน้า
3. ครีมบำรุงเพื่อผิวขาวและครีมกันแดด : สาวๆ ควรใช้ครีมบำรุงผิวครีมหน้าใสที่ มีไวท์เทนนิ่งทาหลังอาบน้ำเสร็จเป็นประจำ และเพื่อเสริมประสิทธิภาพของครีมบำรุงให้บำรุงอย่างต่อเนื่องควรทาซ้ำก่อน นอน และจำเอา ไว้ให้ขึ้นใจว่า่ก่อนออกจากห้องต้องทาครีมกันแดดก่อน 20 นาที ทุกครั้ง และทาซ้ำอีกทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง
4. การขัดผิว : เป็นการขัดเพื่อให้เซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพหลุดออกไป และเป็นการเผยผิวที่สดใสยิ่งกว่า การขัดผิวนั้นสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นฟองน้ำ ครีม หินขัด หรือ แม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถนำมาใช้ได้ หรืออาจจะใช้สครับที่มีขายตามท้องตลาดทั่วไปก็ได้ สิ่งที่ต้องคำนึงคือ ให้ทำอย่างนิ่มนวล และไม่ควรทำบ่อยจนเกินไป ทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ก็พอ
5. การทานอาหารและออกกำลังกาย : ควรทานผักและผลไม้ทุกมื้อ เพราะผักและผลไม้ช่วยในเรื่องการขับถ่าย และมีแอนตี้อ็อกซิแดนซ์ที่ทำให้ผิวสวยกระชับ เมื่อร่างกายขับถ่ายตามปกติแล้ว หน้าตา ผิวพรรณก็จะสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกายจะช่วยขับเหงื่อไคล และสิ่งสกปรกใต้ผิวรวมถึงสารพิษออกมา ซึ่งจะทำให้ผิวดูสว่างสดใสขึ้น แถมการออกกำลังกายยังช่วยลดการอุดตันของสิ่งสกปรกใต้ผิว ทำให้ไม่มีสิวอีกด้วยค่ะ
วิธีทำให้ผิวขาวเหล่านี้จะช่วยให้คุณผู้หญิง ดูแลตัวเอง และดูแลผิวมากยิ่งขึ้นค่ะ งั้นไปลองวิธีทำให้ผิวขาวกันเลยดีกว่าค่ะ
ที่มา..108health.com
เคล็ดลับการเทสต์เครื่องสำอาง
มี สาว ๆ หลายคนที่โชคดี ที่ได้ลองเครื่องสำอางแล้วก็ได้พบเครื่องสำอางที่เข้ากับตัวเองราวกับเกิดมา เพื่อกันและกัน อย่างรองพื้นที่เนียนกริบและพอดีกับสีผิวเป๊ะ หรือมาสคาร่าที่ช่วยให้ขนตางอนงามเด้งได้ตลอดวัน แต่ก็ยังมีสาว ๆ ผู้ที่โชคไม่เข้าข้างอีกส่วนหนึ่ง ที่ยังหาเครื่องสำอางที่เกิดมาเพื่อกันและกันไม่เจอสักที หรือคนที่อยากจะเปลี่ยนไปใช้เครื่องสำอางยี่ห้ออื่นบ้างแต่ก็ไม่รู้ว่าจะ เลือกอย่างไรให้เข้ากับตัวเอง เพื่อปลอบใจสาว ๆ ที่ยังหาเครื่องสำอางที่เหมาะกับตัวเองไม่ได้
รองพื้น
การลองสีของรองพื้น สาว ๆ หลายคนมักเลือกสีที่พอดีกับผิวหน้า หรือขาวกว่าเล็กน้อย โดยจะลองกันที่บริเวณกราม แต่เราขอแนะนำให้คุณลองสีเครื่องสําอางเกาหลี ของรองพื้นที่บริเวณต่ำลงมาอีกนิดที่ส่วนของลำคอ แทน ด้วยวิธีการนี้คุณจะได้สีของรองพื้นที่เข้ากับผิวที่สุด รับรองว่าไม่วอกไม่ลอยและสม่ำเสมอกับสีผิวทั้งกายด้วย (สีผิวที่คอจะเสมอกับสีผิวส่วนอื่น ๆ มากกว่า หากเปรียบเทียบกับผิวหน้าที่มักได้รับการดูแลเป็นพิเศษ จึงสว่างใสกว่าสีผิวส่วนอื่น ๆ)
คอนซีลเลอร์
ยามเลือกลองคอนซีลเลอร์ ให้เลือกมา 3 เฉด คือเฉดที่พอดีกับสีผิวของคุณ กับเฉดข้างเคียงที่อ่อนและเข้มกว่ากันนิดหน่อย โดยลองปาดดูที่บริเวณข้อมือด้านใน จากนั้นดูว่าเฉดไหนกลืนกับสีผิวคุณได้ดีที่สุด ทั้งนี้ คอนซีลเลอร์สองแบบที่คุ้มค่าน่าซื้อหา คือแบบเนื้อเหลวสีพีช/ชมพู ที่สามารถกลบรอยคล้ำใต้ดวงตาได้ดี และแบบเนื้อแข็งสีเหลือง (มักมาในรูปแบบครีมเนื้อแข็งหรือแป้งอัดแข็ง) ซึ่งใช้ปกปิดจุดด่างดำได้ดี แต่มักดูหนาเตอะ และลงไปจับตามร่องริ้วรอยได้ง่าย
แป้งฝุ่น
แป้งฝุ่นที่ดีสำหรับคุณผู้หญิงทุกคน คือแป้งฝุ่นประเภทโปร่งแสง (translucent) สามารถทดสอบได้โดยการปัดลงที่หลังมือ คุณจะพบว่ามันกลืนไปกับสีผิว และเหลือทิ้งไว้แต่สัมผัสเนียน ๆ และผิวที่ดูผ่องขึ้นเล็กน้อย
บลัช
ลองสีของบลัชโดยการทาที่หลังมือ หากบลัชเป็นเนื้อครีมสามารถใช้นิ้วปาดได้เลย แต่หากเป็นเนื้อฝุ่นให้ใช้แปรงในการลอง ทั้งนี้หากคุณลงรองพื้นก่อนปัดแก้มทุกครั้ง ก่อนไปถึงร้านหรือเคาน์เตอร์เครื่องสำอาง คุณก็ควรทารองพื้นที่หลังมือด้วย เนื่องจากการปัดบลัชลงบนผิวเปลือยและผิวที่มีรองพื้นนั้นให้ผลที่แตกต่างกัน
ไฮไลท์
หากเป็นไฮไลท์เนื้อฝุ่นให้ใช้แปรงกลมหัวใหญ่ในการลองปัดที่หลังมือ ส่วนไฮไลท์เนื้อครีมหรือเนื้อเหลวให้ใช้ปลายนิ้วปาดลงไปได้เลย ยกมือขึ้นทาบกับแสงไฟเพื่อดูว่าไฮไลท์ตัวนี้มีประกายที่ดูประหลาดเกินไปหรือ ไม่ หากมันดูไม่สวยบนมือของคุณ มันจะยิ่งดูไม่สวยขึ้นอีกเมื่ออยู่บนใบหน้า เพราะมีความมันจากใบหน้ามาผสมด้วย ทั้งนี้ไฮไลท์สีที่เข้ากับทุกสีผิวได้ดี คือสีแชมเปญ
บรอนเซอร์
หากต้องการบรอนเซอร์เพื่อสร้างประกายผิวแทนบ่มแดดที่ดูสุขภาพดี ให้เลือกบรอนเซอร์เนื้อแมทช์ อันจะให้ลุคที่ดูเป็นธรรมชาติที่สุด โดยให้ลองทาที่ท้องแขนและดูว่าคุณสามารถมองเห็นรอยกระหรือจุดด่างดำที่ผิว ของคุณได้อยู่หรือไม่ บรอนเซอร์ที่ดีควรจะโปร่งแสงพอที่ทำให้คุณยังมองเห็นจุดกระหรือรอยด่างดำที่ ท้องแขนของตัวเอง ซึ่งจะมีความเป็นธรรมชาติเมื่อทาลงไปบนผิวหน้า
อายแชโดว์
ใช้คอตตอนบัดในหรือแปรงทาตาหัวฟองน้ำในการลองสีอายแชโดว์ที่หลังมือรวมทั้ง ที่ข้อมือด้านในของคุณ หลีกเลี่ยงการใช้ปลายนิ้วปาดเพื่อลองสี เพราะความมันจากปลายนิ้วคุณอาจทำให้สีผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงได้ จากนั้นพลิกข้อมือเพื่อดูสีสันหรือประกายของอายแชโดว์จากหลาย ๆ องศา ว่ามันสวยถูกใจคุณหรือไม่ รวมทั้งลองเกลี่ยนสีดูเพื่อทดสอบความยาก-ง่าย ในการเบลนด์สีเมื่อนำไปใช้งานจริง
อายไลน์เนอร์
ทดสอบอายไลน์เนอร์โดยการเขียนลงที่หลังมือของคุณ รอสักครู่หนึ่งใช้เซ็ตตัว จากนั้นใช้ปลายนิ้วถูดู อายไลน์เนอร์ที่ดีควรจะดูเลือนลงเล็กน้อย หากยิ่งคุณถูก มันก็ยิ่งหลุดเลือนไปตามทิศทางนิ้ว นั่นจะทำให้ขอบตาคุณคล้ำดำไปด้วยสีของอายไลน์เนอร์เมื่อนำไปใช้งานจริง
มาสคาร่า
มาสคาร่าเป็นเครื่องสำอางค์ชิ้นต้องห้ามที่คุณไม่ควรลองเด็ดขาดเมื่อไปที่ เคาน์เตอร์ขายเครื่องสำอาง เนื่องจากเสี่ยงต่อการนำเชื้อโรคต่าง ๆ มาสู่ดวงตาเป็นอย่างมาก แต่ให้คุณมองหามาสคาร่าที่มีแปรงปัดซึ่งปลายเรียวเล็กและซี่ละเอียดแทน มันจะช่วยให้มาสคาร่าไม่จับตัวเป็นก้อนและสามารถปัดได้ชิดโคนขนตามากที่สุด
ลิปสติก
ทดลองสีของลิปสติกโดยการปาดลงที่ปลายนิ้วมือ เพื่อให้สามารถมองเห็นสีที่ใกล้เคียงที่สุดเมื่อมันอยู่บนริมฝีปากของคุณได้ ไม่ใช่ลองสีที่หลังมืออย่างที่หลาย ๆ คนเข้าใจกัน
ลิปกลอส
ลองลิปกลอสด้วยวิธีเดียวกับการลองลิปสติก เครื่องสําอางเกาหลี คือทาลงปลายนิ้วของคุณ จากนั้นจึงแตะปลายนิ้วสองนิ้วเข้าด้วยกัน (เปรียบเหมือนยามที่ริมฝีปากทั้งสองมาแตะกัน) ด้วยวิธีนี้คุณจะทราบได้ว่าลิปกลอสแท่งนั้นมีเนื้อที่เหนียวหนืด หรือเหลวเกินไปหรือไม่
ที่มา..guru.thaibizcenter.com
วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
การเลือกครีมใช้ครีมบำรุงผิวให้เหมาะกับคุณ
เนื่องจากครีมทาผิวขาวครีมบำรุงผิว หรือมอยส์เจอไรเซอร์นั้นมีหลายชนิดด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นโลชั่นชนิดครีมค่อนข้างเหลวหรือเนื้อครีมขาวข้นซึ่งแต่ละชนิดก็ มีส่วนประกอบของสารที่แตกต่างกันไป ดังนั้นการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจึงจำเป็นต้องมีวิธีการเลือกซื้อให้ เหมาะกับผิวของแต่ละคนโดยสามารถทำได้ดังนี้
- ผลิตภัณฑ์ บำรุงผิวที่เลือกใช้ จำเป็นจะต้องผ่านการตรวจสอบทางการแพทย์มาแล้วว่าจะไม่ ก่อให้เกิดการแพ้ระคายเคืองต่อผิว และไม่มีส่วนประกอบของสารที่จะก่อให้เกิด สิว
- เลือกใช้ครีมบำรุงผิวetude houseที่มีส่วนผสมของน้ำมันคาร์เนชั่น ซึ่งเป็นน้ำมันที่มีไขมันอิ่มตัวบริสุทธิ์ไม่ทำให้เกิดสิวและไม่ใส่สารกันบูด
- หาก ต้องการให้มีผิวแข็งแรงดูอ่อนเยาว์ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของอีฟนิ่ง พริมโรสเพราะมีคุณสมบัติป้องกันผิวหยาบกร้านไม่ทำให้ผิวแห้งลอกเป็นขุย
- สำหรับ ผู้ที่มีผิวมันควรเลือกใช้ครีมบำรุงผิวที่ระบุว่าเป็นชนิดออยล์ฟรี เพราะ ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้จะให้ความมันค่อนข้างน้อยจึงไม่ทำให้ใบหน้ามันจนเกินไปใน ช่วงระหว่างวัน
- และในส่วนของผู้ที่มีผิวหมองคล้ำมี ริ้วรอยเหี่ยว ย่นหรือมีโอกาสต้องเจอกับแสงแดดอยู่เป็นประจำควรเลือกใช้ครีมบำรุงผิวที่มี ส่วนผสมของอัลฟ่าไฮดรอกซี่ แอซิด เพราะคุณสมบัติของเอเอชเอจะเป็นตัวช่วยเร่งเซลล์ผิวหนังกำพร้าชั้นบน ที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไปได้เร็วยิ่งขึ้นผิวจึงดูผ่องใสและขาวเนียนยิ่ง ขึ้น
- ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งควรเลือกใช้ ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของมอ ยเจอร์ไรซ์เซอร์ถ้ามีผิวแห้งมากควรเลือกใช้ผลิตภัณที่ผสมมอยเจอร์ไรซ์เซอร์ มากตามไปด้วย
- และผู้ที่มีผิวปกตินั้นควรเลือกใช้ ครีมบำรุงผิวที่มี ส่วนประกอบของสารที่ให้ความมันและความชุ่มชื้นค่อนข้างมาก การเลือกซื้อ ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิวหน้าจะทำให้การใช้ครีมบำรุงผิวได้ผลดียิ่งขึ้น
เราจะเห็นได้เลยว่า การเลือกใช้ ครีมบำรุงผิว หรือ ครีมทาผิวขาว etude houseที่เหมาะกับตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ไม่ที่จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาตามมา และควรมีการทดสอบผลิตภัณฑ์ก่อนใช้ทุกครั้ง
ที่มา: PrivateCutie.com
6 วิธีทำให้ผิวขาว ใส ด้วยน้ำผึ้ง
วิธี ทำให้ผิวขาวของคุณผู้หญิงด้วยน้ำผึ้งนั้น สูตรโบราณแต่ได้ผล วันนี้เรารวบรวมวิธีทำให้ผิวขาว ใส จากสูตรน้ำผึ้งมาฝากคุณผู้หญิงที่รักสุขภาพกันค่ะ
วิธีทำให้ผิวขาวด้วยน้ำผึ้งนั้น ครีมหน้าใส มีสูตรและวิธีมากมายให้คุณผู้หญิงได้ลองเลือกเอาไปใช้กัน
ซึ่ง แน่นอนว่าวิธีทำให้ผิวขาวด้วยวิธีธรรมชาติจะให้ผลได้ดีทีเดียว เมื่อคุณใช้เป็นประจำ และขยันในการผสมสูตร ซึ่งผลได้นอกจากผิวของคุณจะไม่แพ้แล้ว ยังได้ผิวที่สุขภาพดีตามมาอีกด้วย งั้นอย่ารอช้า เราหาสูตรดีๆ เพื่อตัวเองกันดีกว่าค่ะ
วิธีทำให้ผิวขาวสูตรที่หนึ่ง - น้ำผึ้งกับกล้วยหอม
ข้อดีของสูตรนี้: เหมาะกับสาวผิวแห้งเป็นอย่างยิ่ง โดยมีเคล็ดลับการพอกหน้าสูตรนี้อยู่ว่าให้ทาบาง ๆ เบา ๆ เป็นวงกลมให้ทั่วหน้า แต่ไม่แตะต้องบริเวณผิวบอบบางรอบดวงตา จะช่วยให้ผิวที่แห้งเป็นขุยกลับนุ่มชุ่มชื้นขึ้นเยอะเลยค่ะ
ส่วนผสม กล้วยหอมครึ่งผล, น้ำผึ้งแท้ 2-3 ช้อนโต๊ะ
วิธี ทำ นำกล้วยหอมมาปั่นหรือบด รวมกับน้ำผึ้งแท้จนละเอียด รวมเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะรู้สึกว่าผิวหน้าดูนุ่มนวลและสดใสขึ้น
วิธีทำให้ผิวขาวสูตรที่สอง - น้ำผึ้งกับไข่
ข้อ ดีของสูตรนี้: เหมาะสมสำหรับสาวที่มีผิวแห้งถึงแห้งมากที่สุด เพราะคุณค่าของโปรตีนจากไข่แดง เมื่อนำมาผสมกับน้ำผึ้ง มันจะช่วยให้ผิวหน้าไม่แห้งตึง พร้อมกับมีความยืดหยุ่นดีขึ้นอีกต่างหาก
ส่วนผสม : ไข่แดง 1 ฟอง, น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา
วิธี ทำ : นำไข่แดงมาผสมกับน้ำผึ้งตามอัตราส่วนดังกล่าว แต่ถ้ามีปริมาณความเข้มข้นของส่วนผสมมากเกินไปก็เติมน้ำลงไปอีก 2-3 หยด แล้วจึงนำมาพอกหน้าและทิ้งไว้ 15 นาที จากนั้นใช้น้ำอุ่นๆ ล้างหน้าให้สะอาด สามารถทาบริเวณคอได้ด้วยนะคะ
วิธีทำให้ผิวขาวสูตรที่สาม - น้ำผึ้งกับแอปเปิ้ล
ข้อดีของสูตรนี้: สามารถช่วยให้สาวผิวผสมที่มีรูปขุมขนกว้าง กลับมามีผิวหน้าที่กระชับและเนียนเรียบขึ้น
ส่วนผสม : แอปเปิ้ลผลไม้ใหญ่นัก 1 ลูก, น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ, นมพร่องไขมัน 1 ช้อนโต๊ะ
วิธี ทำ : นำแอปเปิ้ลมาใส่เครื่องปั่น เหยาะน้ำผึ้งกับนมพร่องไขมันลงไป ปั่นให้เข้ากัน ใช้ส่วนผสมที่ได้นวดให้ทั่วใบหน้า แล้วทิ้งไว้ 20 นาที จากนั้นใช้น้ำอุ่นล้างออกให้หมด
วิธีทำให้ผิวขาวสูตรที่สี่ - น้ำผึ้งกับมะนาว
ข้อดีของสูตรนี้: สูตรนี้เหมาะกับสาวผิวผสมมาก และที่สำคัญจะทำให้ผิวหน้าขาวเนียนสดใสและเต่งตึงขึ้นทันตาเห็น
ส่วนผสม : มะนาว 1 ผล, น้ำผึ้งแท้ 2-3 ช้อนโต๊ะ, น้ำเดือด 2 ช้อนโต๊ะ
วิธี ทำ : ละลายน้ำผึ้งในน้ำเดือด จากนั้นเติมมะนาวลงไป ผสมเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน ทาบาง ๆ ทั่วใบหน้าโดยทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
วิธีทำให้ผิวขาวสูตรที่ห้า - น้ำผึ้งกับส้ม
ข้อ ดีของสูตรนี้: หลังจากใช้ จะได้ความนุ่มนวลแลดูสดใสเปล่งปลั่งของใบหน้ากลับคืนมา และถ้าให้ดีขึ้นไปอีกถ้าทำครีมพอกหน้าสูตรนี้ไว้ใช้เป็นประจำ จะทำให้ผิวพรรณชุ่มชื่นนวลเนียนสดใสจนเป็นสีชมพูเลยค่ะ
ส่วนผสม : ส้ม 1 ผล, น้ำผึ้งแท้ 2-3 ช้อนโต๊ะ, ดินสอพอง 3 เม็ด
วิธี ทำ : นำดินสอพองมาบดให้ละเอียด เติมน้ำส้มคั้นและน้ำผึ้งแท้ลงไป คนจนรวมเป็นเนื้อเดียวกันแล้วนำมาพอกหน้าโดยพอกทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะรู้สึกได้ถึงความเปล่งปลั่งและนุ่มนวลของใบหน้า ผิวหน้าชุ่มชื้นและนวลเนียนสดใส
วิธีทำให้ผิวขาวสูตรที่หก - น้ำผึ้งกับแครอท
ข้อ ดีของสูตรนี้: ถ้าได้ทำเป็นประจำ จะช่วยลดรอยแผลเป็นและจุดด่างดำต่าง ๆ บนใบหน้าให้เกลี้ยงเนียนใส อีกทั้งยังช่วยให้ผิวพรรณไร้รอยหมองคล้ำ และทำให้ผิวหน้าขาวกว่าเดิมค่ะ
ส่วนผสม : แครอท 1 หัวเล็ก, น้ำผึ้งแท้ 2-3 ช้อนโต๊ะ
วิธี ทำ : นำแครอทมาล้างน้ำให้สะอาดและหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ปั่นรวมกับน้ำผึ้งแท้จนละเอียดรวมเป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอกหน้าโดยพอกทิ้งไว้ 15-20 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด
สูตรและวิธีทำให้ผิวขาวครีมหน้าใส เหล่านี้ มาจากธรรมชาติแท้ๆ เลยค่ะ ยังไงซะสาวๆ ก็ลองนำสูตรและวิธีทำให้ผิวขาวเหล่านี้ไปลองใช้กันดูน่ะค่ะ
ที่มา..108health.com
น่ารักสดใสด้วยเมคอัพสีลูกกวาดพาสเทล
มี ความสดใสของสีสวยสด และหยอดสีขาวลงไปเจือเล็กน้อย เมื่อสีดร็อปลงมาก็ดูนุ่มนวลและหวานขึ้น แต่ไม่ถึงขั้นหวานแหวว เหมาะกับสาว ๆ ที่อยากแต่งหน้าให้ได้ทั้งความน่ารักและสดใสไปพร้อม ๆ กัน
1. อายแชโดว์สีเบบี้พิงค์
สาว ๆ คงจะมีพาเลทอายแชโดว์สีชมพูเครื่องสําอางเกาหลี ไว้ในครอบครองกันอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะมีสีชมพูอ่อน ๆ อย่างสีเบบี้พิงค์อยู่หรือเปล่า สีชมพูอมขาวอ่อน ๆ อารมณ์นมเย็น ดูหวานน่ารัก เอามาเบลนด์ร่วมกับสีชมพูเฉดที่เข้มขึ้นก็ทำให้ดวงตาหวาน ๆ น่ารักดีจัง
2. ลิปสติกสีลาเวนเดอร์พาสเทล
เมื่อสาวเปรี้ยวมีซิกเนเจอร์ในการแต่งตัวด้วยลิปสติกสีแดงที่ดูโฉบเฉี่ยวและ เตะตา ซิกเนเจอร์ของสาว ๆ ที่รักการแต่งหน้าให้มีสีสันแปลกตาก็ต้องเป็นลิปสติกสีลาเวนเดอร์นี่เลย ที่ให้ทั้งความหวาน และความโดดเด่นที่เรียวปากไปพร้อม ๆ กัน
3. อายแชโดว์สีเหลือง
เลือกอายแชโดว์สีเหลืองมาทาตา คู่กับการใช้อายไลน์เนอร์สีดำหรือน้ำตาลเข้ม กรีดตาคม ๆ ไม่ต้องหนามาก ได้ลุคที่เก๋แปลกตามาก ๆ เลยล่ะค่ะ
4. บลัชสีคอรัล
สีคอรัลหรือสีส้มอมแดง น่าจะเป็นอีกหนึ่งสีของบลัชที่สาว ๆ มีไว้ในคอลเลคชั่นเครื่องสำอาง ปัดที่พวงแก้มแล้วดูเปล่งปลั่ง อบอุ่น ยิ่งตามด้วยการปัดบรอนเซอร์สีแชมเปญทับเบา ๆ อีกนิดล่ะก็ เกิดสุด ๆ ไปเลย
5. อายแชโดว์สีฟ้าพาสเทล
อายแชโดว์สีฟ้าพาสเทล ดูอ่อนหวานและเยือกเย็น ทาแล้วอย่างลืมปัดมาสคาร่าให้ขนตาเด้ง ๆ ด้วย ได้ฟีลเจ้าหญิงจากเมืองหิมะเลย
6. ลิปสติกสีส้มพาสเทล
ถึงจะเป็นเฉดสีเปรี้ยวที่ไม่ได้แปลกใหม่อะไร แต่ก็ไม่ค่อยเห็นใครทาปากกันด้วยลิปสติกสีส้มเลย เลือกลิปสติกเนื้อครีมสีส้มแนวพาสเทลจาง ๆ ที่เจือสีขาวเข้าไปนิดหน่อยให้ดร็อปความจี๊ดจ๊าดลง มาทาที่เรียวปากของคุณ จะเติมสีสันลูกกวาดบนใบหน้าได้อย่างน่ารักทีเดียว
7. เล็บสีมินท์
สีเขียวมินต์ดูสดใสและให้ความรู้สึกสดชื่นในตัว ลองทาเล็บด้วยสีเขียวมินท์ดูสิ เครื่องสําอางเกาหลี น่ารักซาบซ่าไม่เบา
8. อายแชโดว์สีไลแลค
สีม่วงไลแลค มีความเป็นพาสเทลอยู่ในตัวเล็กน้อย สีจึงไม่สดเท่ากับสีม่วงลาเวนเดอร์ แต่ก็ให้ความสดใสได้ไม่แพ้กันเลยค่ะ ลองแต่งตาด้วยอายแชโดว์สีม่วงไลแลคดูสิ ได้ความหวานกุ๊กกิ๊ก ผสมความเย้ายวนได้ด้วยล่ะ
ที่มา..guru.thaibizcenter.com
วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
เคล็ดลับ.... ต่อต้านริ้วรอย
คุณ เคยรู้สึกแปลกใจบ้างไหมว่าเหตุใดผู้หญิงบางคนจึงมี ประกายความงามโดดเด่น สะดุดตาคุณเหลือเกิน ทั้ง ๆ ที่เธอผู้นั้นก็ไม่ได้มีใบหน้าที่สวยสมบูรณ์แต่อย่างใด อันที่จริงแล้วคุณเองก็สามารถเป็นอีกคนหนึ่งที่มีความงามโดดเด่นได้เช่นกัน เพียงเอาใจใส่และดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ
เคล็ดลับง่าย ๆ ของการมีผิวสวยใส ไร้ริ้วรอย คือ การรู้จักเลือกใช้ครีมบำรุงผิวอย่างเข้าใจ
เลือกใช้ครีมบำรุงผิวอย่างไรจึงจะดี
ครีม บำรุงผิวโดยทั่วไปจะมีองค์ประกอบหลัก คือ น้ำ น้ำมัน และสารอีมัลชั่น etude house ซึ่งจะช่วยให้น้ำและน้ำมันเข้ากันเป็นเนื้อครีมอย่างที่เห็นโดยทั่วไป ครีมบำรุงผิวที่ดี เมื่อทาบนผิวหนังแล้ว เนื้อครีมควรจะเข้ากับผิวหนังได้ดี ไม่ทำให้รู้สึกเหนียวเหนอะหนะและเนื้อครีมควรกระจายได้ง่ายบนผิวหนัง ที่สำคัญต้องช่วยปกป้องผิวหนังได้นานหลายชั่วโมงในแต่ละวัน องค์ประกอบของน้ำมันต้องซึมซาบได้ดี สามารถซึมลึกสู่ผิวหนังกำพร้าชั้นลึกลงไปได้ ปัจจุบันจึงมีการเลือกสรรชนิดของน้ำมันที่จะให้ประโยชน์ต่อผิวหนังมากกว่า การเป็นเพียงน้ำมันที่เป็นสารหล่อลื่นผิวหนังธรรมดา เช่น น้ำมันโจโจ้บา น้ำมันจากดอกทานตะวัน น้ำมันจากผลแตงกวา และอื่น ๆ น้ำมันที่สกัดจากสมุนไพรธรรมชาติเหล่านี้ อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อเซลล์ผิวหนัง นอกจากนี้ครีมบำรุงผิวที่ดีควรจะมีอาหารเสริมให้แก่ผิวหนังอีกด้วย วิตามินชนิดต่าง ๆ รวมถึงสมุนไพรที่ได้รับการวิจัย ค้นพบและรับรองว่าปลอดภัย เช่น วิตามินเอ, วิตามินอี, วิตามินซี, โคเอ็นไซม์ Q10 เป็นต้น
1. สารแอนตี้ออกซิแดนท์ชนิดเอนไซม์ (Enzymatic Anti-Oxidants) ปกป้องเซลล์ที่อยู่ภายในร่างกาย ได้แก่ ซุปเปอร์ออกไซด์ ดิสมิวเทส (Super Oxide Dismutase - SOD) คาทาเลส (Catalase) กลูทาไทโอน เพอร์ออกซิเดส (Glutathione Peroxidases - GSHP) กลูทาไทโอน รีดักเทส (Glutathione Reductase) และกลูโคส-6-ฟอสเฟต ดีไฮโดรจีเนส (Glucose-6-Phosphate Dehydrogenase - G-6-PD)
2. สารแอนตี้ออกซิแอนท์ที่ไม่ใช่เอนไซม์ (Non-Enzymatic Anti-Oxidants) มีโมเลกุลขนาดเล็ก ทำงานได้ทั้งภายในและภายนอกเซลล์ แต่จะทำงานภายนอกเซลล์เป็นส่วนใหญ่ คือ ในเส้นเลือด และระหว่างชั้นเนื้อเยื่อ โดยแบ่งประเภทตามการละลายได้เป็น 2 ชนิด
2.1 ไฮโดรฟิลิก แอนตี้ออกซิแดนท์ (Hydrophilic Anti-Oxidants) คือ สารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในน้ำ เช่น กรดแอสคอร์บิกหรือวิตามินซี
2.2 ไลโพฟิลิก แอนตี้ออกซิแดนท์ (Lipophilic Anti-Oxidants) คือ สารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในไขมัน ได้แก่ อัลฟ่า โตโกฟิรอล (Alpha Tocopherol) หรือวิตามินอี, เบต้าแคโรทีน (Beta Carotene), ยูบีควิโนน-ยูบีควินอล (Ubiquinone-Ubiquinol) และรีดิวส์ กลูทาไทโอน (Reduced Glutathione - GSHR)
คุณสมบัติสำคัญของสารแอนตี้ออกซิแดนท์ในอุดมคติที่นักวิทยาศาสตร์คิดค้นเพื่อนำมาใช้ผสมในครีมบำรุงผิวต่อต้านริ้วรอย คือ
1. มีหน้าที่สำคัญทางสรีรศาสตร์ต่อผิวหนัง
2. สามารถต่อต้านอนุมูลอิสระได้หลายชนิด
3. หาง่าย ไม่เป็นพิษและไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง
4. ดูดซึมทางผิวหนังได้ดีในรูปของสารออกฤทธิ์
5. ผลิตภัณฑ์มีความคงตัว
6. ไม่เกิดการสันดาปกับออกซิเจนได้ง่าย ๆ ในบริเวณส่วนของผิวที่ต้องการการซ่อมแซมและปกป้อง
ส่วนผสมสำคัญในครีมบำรุงผิวและต่อต้านการเกิดริ้วรอย
วิตามินซี (Ascorbic Acid)
ทำ หน้าที่กำจัดอนุมูลอิสระและเป็นองค์ประกอบร่วมของเอนไซม์ต่าง ๆ ที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน เช่น เอนไซม์เฟอร์ริกและคิวปริกเมทัลเลี่ยนส์ (Ferric/Cupric Metalions Enzymes) ในขณะเดียวกันวิตามินซียังสามารถทำปฏิกิริยากับอนุมูลอิสระได้หลายชนิด มีความเป็นพิษต่ำ และเป็นตัวดึงวิตามินอีมาจากโตโกฟิรอลแรดิคัลได้ แต่ข้อด้อยของวิตามินซี คือ ถูกทำลายได้อย่างรวดเร็วเมื่อถูกแสง ความชื้น ออกซิเจน ความร้อน และด่าง
ร่างกายต้องการวิตามิน ซีประมาณวันละ 60 มก. ส่วนผู้หญิงมีครรภ์และผู้สูบบุหรี่ต้องการมากขึ้นเป็นประมาณวันละ 140 มก. อาหารที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ ผลไม้รสเปรี้ยวและผักใบเขียว การรับประทานวิตามินซีค่อนข้างปลอดภัย เนื่องจากวิตามินซีละลายในน้ำได้ วิตามินซีที่รับประทานเข้าไปจะไปอยู่ในผิวชั้นนอกมากกว่าผิวชั้นในถึง 5 เท่า และมีผลในการช่วยลดปริมาณอนุมูลอิสระในผิว ช่วยสมานแผล ชะลอการร่วงโรยของผิว และป้องกันการเกิดมะเร็งผิวหนัง
วิตามินซีส่วนใหญ่อยู่ ในรูปของกรดแอล-แอสคอร์บิก (L-Ascorbic Acid) ได้แก่ แอสคอร์บิลพาลมิเทต และแอสคอร์บิลฟอสเฟต ซึ่งแอสคอร์บิลฟอสเฟตเป็นวิตามินซีที่ละลายน้ำได้ดีและคงตัวอยู่ได้นานถึง 6 เดือน จึงมีผู้นำมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์หลายชนิด ส่วนแอสคอร์บิลพาลมิเทตนั้นละลายได้ทั้งในน้ำและไขมัน จึงใช้เป็นส่วนผสมในครีม โลชั่น และน้ำมัน ข้อดีของสารตัวนี้คือมีค่า pH หรือค่าความเป็นกรด-ด่าง ที่เป็นกลางจึงไม่ระคายเคืองต่อผิว
จากการทดสอบพบว่า การทาวิตามินซีบนผิวสามารถลดอาการบวมแดงหรืออาการไหม้จากแสงแดดได้ โดยหากผสมวิตามินอี ลงไปด้วยก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ได้ผลใกล้เคียงกับครีมกันแดดที่มีออกซิเบนโซนเป็นส่วนประกอบ และหากใช้วิตามินซี วิตามินอี และออกซิเบนโซน ร่วมกันก็จะสามารถป้องกันภาวะพิษจากแสงแดดได้เกือบ 100% อย่างไรก็ตาม วิตามินซีไม่สามารถป้องกันการหย่อนยานของผิวได้ รวมทั้งยังไม่มีผลการศึกษาและทดสอบกับคนจำนวนมาก เพื่อยืนยันว่าวิตามินซีมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใดในเรื่องดังกล่าว
ร่างกายสามารถรับ วิตามินอีได้ถึงวันละ 3,000 มก. อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานโดยไม่เป็นอันตราย แต่สำหรับผู้ที่มีอาการของความดันโลหิตและเบาหวาน ไม่ควรใช้ในขนาดสูงกว่า 4,000 มก. และพบว่ายาระบายและยาคุมกำเนิดมีฤทธิ์ต้านวิตามินอีด้วย วิตามินอีมีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องการรักษาความเยาว์วัยของผิว คือ ช่วยในเรื่องการสร้างตัวของเซลล์ใหม่ การทำงานของต่อมและฮอร์โมน รวมทั้งการซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายไป การขาดวิตามินอี ทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงเปราะ แตกง่าย และคอลลาเจนที่ผิวหนังลดลง จึงเกิดเป็นริ้วรอย และมีการสะสมของไขมันอย่างผิดปกติ
ผลการทดลองพบว่า วิตามินอี สามารถลดอาการไหม้จากแสงแดด ช่วยลดริ้วรอย และทำให้ผิวอ่อนนุ่มขึ้น ในการทดลองเกี่ยวกับมะเร็งผิวหนัง การทาและการรับประทานวิตามินอีจะช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งในสัตว์ทดลองได้ ส่วนการรับประทานวิตามินเอและวิตามินอีอย่างสม่ำเสมอ ก็สามารถลดอัตราเสี่ยงในการเกิดเซลล์มะเร็งขั้นพื้นฐานได้ถึง 70% และพบด้วยว่า การรับประทานวิตามินอีวันละ 400 มก. ในผู้ที่เป็นแผลในกระเพาะอาหารจะทำให้แผลหายเร็วกว่ากลุ่มที่ใช้ยาหลอก แต่การทาวิตามินอีกลับไม่มีผลต่อความหนาและสภาพของแผลเป็น
วิตามินเอ (Retinol)
พบ มากในพืชที่มีสีเขียวและเหลือง ไข่แดง เนย ตับ และน้ำมันตับปลา ร่างกายจะสะสมวิตามินเอไว้ในตับ วิตามินเอจะออกฤทธิ์เมื่อแปรสภาพเป็นกรดเรติโนอิก แต่จะเสื่อมสภาพจากแสง ออกซิเจน และค่า pH ที่เปลี่ยนแปลง สารธรรมชาติและอนุพันธ์สังเคราะห์จากวิตามินเอนั้นเรียกรวม ๆ ว่า เรตินอยด์ (Retinoids) เรตินอยด์ เป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง อาทิ ช่วยควบคุมการเจริญเติบโต แยกความแตกต่างของเซลล์บุผิว ชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง ลดอาการอักเสบ กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันโรค กระตุ้นการซ่อมแซมผิวหนังที่ถูกทำลายจากแสงแดด ช่วยยับยั้งกระบวนการสร้างเอนไซม์เมทาลโลโปรตีเนส (Metallo Proteinase Enzyme) ที่เป็นตัวการในการสลายคอลลาเจน นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการเสริมสร้างคอลลาเจนอีกด้วย การทาเรตินอยด์จะช่วยลดริ้วรอย ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น กระ ฝ้า จางลง ลดจำนวนและขนาดของแอคตินิค เคราโตส (Actinic Keratoses)
เบต้าแคโรทีน (Beta Carotene)
สาร ตั้งต้นของวิตามินเอ ทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระและปกป้องเนื้อเยื่อเซลล์จากอนุมูลอิสระ ไลพิดเพอร์ออกไซด์ (Lipid Peroxidation) พบมากในผักใบเขียว แครอท มันฝรั่งหวาน แคนตาลูป เนื้อสัตว์ เนย และเนยแข็ง และถูกดูดซึมสู่ร่างกายได้ดีเมื่อรับประทานร่วมกับอาหารที่มีไขมัน
ในการทดลองกับสัตว์พบ ว่า เบต้าแคโรทีน สามารถยับยั้งมะเร็งผิวหนังที่เกิดจากแสงแดด แต่ประสิทธิภาพนี้ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ในคน เราสามารถรับประทานเบต้าแคโรทีนได้ถึงวันละ 180 มก. โดยไม่เป็นอันตราย แต่หากรับประทานมากกว่า 30 มก. ติดต่อกันเป็นเวลานานอาจทำให้ผิวเป็นสีเหลืองได้
วิตามินบี 3 (Niacinamide)
วิตามิน ที่ละลายในน้ำ พบในเนื้อเยื่อ ทำหน้าที่เผาผลาญสารอาหารเพื่อให้พลังงานแก่ร่างกาย มีคุณสมบัติในการสร้างคอลลาเจน เพิ่มอัตราการผลัดตัวของเซลล์ผิวเก่า และกระตุ้นการสร้างฟิแลกกริน (Filaggrin) และอินโวลูกริน (Involucrin) มีความคงตัวสูงเมื่อถูกแสง ออกซิเจน และความร้อน สามารถทำงานร่วมกับวิตามินอีได้ดี
โคเอ็นไซม์ คิวเท็น และ โค คิวเท็น ยูบีควิโนน etude house (Co-Enzyme Q10, Co Q10 Ubiquinone)
โค เอ็นไซม์ คิวเท็น เป็นโมเลกุลเล็ก ๆ ที่มีอยู่ในเซลล์ของร่างกายตามธรรมชาติ ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกเมื่อ 40 ปีมาแล้ว หลังจากนั้นก็ได้มีการใช้โคเอ็นไซม์ คิวเท็นกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งทำหน้าที่สำคัญในกระบวนการเผาผลาญเปลี่ยนสารอาหารให้เป็นพลังงาน พบมากในอวัยวะที่มีการเผาผลาญสูง ได้แก่ หัวใจ ไต และตับ หากขาดคิวเท็น เซลล์จะเสื่อมสภาพ เป็นผลให้ผิวพรรณทรุดโทรมและเกิดริ้วรอยก่อนวัย ส่วนยูบีควินอลซึ่งเป็นรูปลดทางเคมีของยูบีควิโนน มีคุณสมบัติเป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ละลายในไขมันเพียงชนิดเดียวที่ร่างกาย สร้างขึ้นมาได้เอง จะพบยูบีควินอลในบริเวณผิวหนังชั้นนอกมากกว่าผิวชั้นในถึง 10 เท่า
ในการทดสอบบนเซลล์ผิว หนังมนุษย์ โคเอ็นไซม์ คิวเท็น สามารถป้องกันการสันดาปจากแสงยูวีเอ ช่วยชะลอความเสื่อมตามธรรมชาติ ให้เซลล์สร้างเส้นใยด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ เพิ่มระดับของกรดไฮยาลูโรเนทที่ให้ความชุ่มชื้นในผิวชั้นใน ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ในเคราติโนไซด์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของผมและเล็บ มีความระคายเคืองต่ำแม้จะใช้ในปริมาณความเข้มข้นสูง สามารถใช้ในผิวบอบบาง แต่อาจมีอาการคันยิบ ๆ รอบจมูกเมื่อใช้ร่วมกับเครื่องสำอางบางชนิด อย่างไรก็ตาม จากการทดลองกับหนู พบว่า โคเอ็นไซม์ คิวเท็น ไม่ได้ช่วยยืดอายุ และไม่มีผลต่อการสะสมตัวของกระสีที่เกิดจากไขมันในเนื้อเยื่อซึ่งพบในสิ่งมี ชีวิตที่อายุมากแล้ว จากการทดลองทาโคเอ็นไซม์ คิวเท็น สังเคราะห์รอบดวงตาของอาสาสมัคร พบว่าสามารถลดรอยย่นรอบดวงตาได้ ในปัจจุบันมีการนำโคเอ็นไซม์ คิวเท็นมาใช้เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์เพื่อป้องกันและรักษาโรคหลายชนิด รวมทั้งชะลอความแก่
ซุปเปอร์ออกไซด์ ดิสมิวเทส (Super Oxide Dismutase - SOD)
เป็น เอ็นไซม์ชนิดหนึ่งในระบบป้องกันที่เป็นตัวทำลายอนุมูลอิสระที่เกิดจากการเผา ผลาญภายในของร่างกาย จากการทดลองพบว่า การเลี้ยงหนอนปกติด้วยสารสังเคราะห์ที่คล้ายกับซุปเปอร์ออกไซด์ ดิสมิวเทส จะช่วยยืดอายุได้ถึง 44% และในหนอนที่แก่เร็วกว่าปกติจะช่วยยืดอายุได้ถึง 67%
สารประกอบฟลาโวนอยด์ (Flavanoids Compounds)
สามารถ ยับยั้งเอ็นไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างอนุมูลอิสระ เช่น แซนทีน ออกซิเดส (Xanthine Oxidase) และไลโปเปอร์ออกซิเดส (Lipo Peroxidase) นอกจากนี้ยังสามารถต่อต้านอนุมูลอิสระและปกป้องการแตกตัวของดีเอ็นเอ (DNA) ได้ด้วย สารในกลุ่มนี้ ได้แก่ รูติน (Rutin) พีโนจีนอล (Pynogenol) เควอเซติน (Quercetin) แคทเทชิน (Catechin) และแนรินกิน (Naringin) โดยที่สารรูตินและเควอเซติน มีความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามินซีถึง 10 เท่า รูตินและกรดโคลโรเจนิก (Chlorogenic Acid - CGA) พบมากในใบยาสูบ ส่วนพีโนจีนอลหรือวิตามินพี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทนความร้อนได้ดี สกัดได้จากเปลือกสน (French Maritime Pine) และเมล็ดองุ่น
นอกจากวิตามินที่ผ่าน การทดสอบมาอย่างมากมายแล้ว สมุนไพรไทย ๆ เช่น ว่านหางจระเข้ หรืออโลเวร่า ก็นับเป็นสมุนไพรหลักในวงการวิทยาศาสตร์ทั่วไปว่ามีประโยชน์มหาศาลต่อผิว หนัง มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับวิตามินอีธรรมชาติ คือ ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ในผิวหนังชั้นลึกที่สุดของหนังกำพร้า มีผลทำให้ช่วยสมานแผล รวมถึงการใช้ทารักษาแผลน้ำร้อนลวก แผลเป็น ฯลฯ และมีการวิจัยพบว่า ส่วนผสมของวิตามินอี คือ ดีแอล-แอลฟ่า-โทโกเฟอรอล (DL-Alfa-Tocopharol) ร่วมกับอโลเวร่า ในครีมบำรุงผิวจะช่วยป้องกันผิวหนังจากดวงอาทิตย์ได้อีกด้วย
ควรใช้ครีมบำรุงผิวบ่อยแค่ไหน
การ ใช้ครีมบำรุงผิวควรใช้อย่างสม่ำเสมอ เช่น etude house ทุกครั้งที่อาบน้ำชำระร่างกาย เป็นการป้องกันไม่ให้ผิวหนังแตกเป็นขุย บางคนผิวแห้งแตกเป็นขุยและมีอาการคันร่วมด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน้าหนาว มักจะเกิดการคันสาเหตุจากผิวหนังแห้งมากนั่นเอง การใช้ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของวิตามินธรรมชาติและสารสกัดจากสมุนไพรก็จะ ช่วยเพิ่มประโยชน์และคุณค่าต่อผิวหนังมากยิ่งขึ้น
หากคุณรู้จักวิธีเลือก ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเอาใจใส่ อย่างสม่ำเสมอดีแล้ว คราวนี้ตำแหน่งสาวงาม สวย สะดุดตา จะเป็นของคุณบ้างอย่างไม่ไกลเกินเอื้อมแน่ ๆ...
ที่มา..newunewlook.com
สูตรมาร์คหน้าด้วยส้มเขียวหวาน
คุณ ผู้หญิงคงสังสัยใช่ไหมล่ะค่ะว่า ส้มเขียวหวานสามารถมาร์คหน้าของเราไปจริงๆ หรือเปล่า แต่เราขอบอกว่าได้ว่าจริงค่ะ วันนี้เราเลยมีเคล็บลับในการมาร์คหน้าด้วยส้มเขียนหวานมาบอกกัน
สูตรมาร์คหน้าด้วยส้มเขียวหวาน
คุณ ผู้หญิงรู้หรือไม่ว่าเจ้าส้มเขียวหวานนี้จะมีประโยชน์ต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก เมื่อเวลารับประทาน แต่ยังมีประโยชน์อย่างมากเหมือนกันถ้าเรานำมาทำเป็นครีมเพื่อบำรุงผิวหน้า
ของเราให้นวลเนียนสดใสขึ้น เหมือนใช้ครีมหน้าใส เพราะ ว่าในตัวของส้มนั้นมีวิตามินต่างๆมากมายไม่ว่าจะเป็น วิตามิน A,C ที่สามารถนำมาเพิ่มความสวยให้กับใบหน้าของเราได้และในส้มนั้นยังมีกรด AHA ที่ช่วยกระชับรูขุมขนให้กระชับมากยิ่งขึ้นและสามารถลดความมันบนใบหน้าได้อีก ด้วย ได้อ่านอย่างนี้แล้วถ้าคุณผู้หญิงคนไหนสนใจแล้วละก็ทำตามแบบที่เรากำลังจะ บอกได้เลยค่ะ
ส่วนผสมที่เรา ต้องเตรียมก็จะมีดังต่อไปนี้ ส้มเขียวหวานจำนวน 1 ผล (มีแค่นี้หละค่ะสำหรับส่วนผสมของเราในวันนี้ ซึ่งจะเหมาะมากกับสาวๆที่ไม่ต้องการความยุ่งยากแต่ต้องการความสวยงาม)
ขั้นตอนและวิธีทำในการทำการมาร์คหน้าด้วยส้มเขียวหวาน
•นำส้มเขียวหวานที่เตรียมไว้มาคั้นเอาแต่น้ำและใส่ถ้วยเตรียมไว้
•ล้างหน้าให้สะอาด แล้วนำน้ำส้มคั้นที่เตรียมไว้มาทาลงบนใบหน้าให้ทั่ว
•ทำการนวดให้ทั่วใบหน้าเบาๆ ด้วยการใช้นิ้วกลางและนิ้วนางเพื่อช่วยให้เลือดบนใบหน้านั้นไหลเวียนได้ดียิ่งขึ้น
•ทิ้งน้ำส้มไว้บนใบหน้าสักประมาณ 15 นาที จนให้รู้สึกว่าใบหน้าของเรานั้นเริ่มตึง
•ล้างออกด้วยน้ำอุ่น แล้วเช็ดหน้าให้แห้งแล้วตามด้วยโลชั่นที่ใช้บำรุงผิวหน้าเป็นประจำ เพื่อเป็นการช่วยบำรุงไปอีกทางหนึ่ง
และเพื่อผลลัพธ์ที่ได้ผลดียิ่งขึ้น เราขอแนะนำให้สาวๆที่ทำสูตรนี้ทุกคนทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เหมือนใช้
ครีมหน้าใส และความพิเศษของสูตรความงามนี้ก็คือไม่ว่าสภาพผิวหน้าจะเป็นอย่างไรก็สามารถ ใช้สูตรมาร์คหน้าสูตรนี้ได้ เคล็ดลับการมาร์คที่เรานำมาบอกจะช่วยให้คุณผู้หญิงสวยขึ้นในทันตาเลยทีเดียว
ที่มา..108health.com
วิธีเลือกเฉดสีรองพื้นให้เหมาะ
รู้จักสีผิวตัวเอง : ถ้าคุณใส่เครื่องประดับที่เป็นเงินแล้วดูดี คุณก็อาจมีสีผิวที่อยู่ในโทนเย็น แต่ถ้าคุณใส่เครื่องประดับที่เป็นทองแล้วดูดีกว่า สีผิวของคุณก็อาจอยู่ในโทนอบอุ่น การรู้โทนสีผิวของตัวเองจะช่วยให้เลือกเฉดสีที่เหมาะสมได้ง่ายขึ้น
เมินสีชมพู : อย่าเลือกเครื่องสําอางเกาหลี ครีม รองพื้นที่มีสีอมชมพูเด็ดขาด ยกเว้นว่าคุณจะมีผิวขาวมาก ๆ ผิวสาวเอเชียส่วนใหญ่มักจะอยู่ในโทนอบอุ่น การเลือกเฉดสีอมเหลืองจะช่วยให้ดูเป็นธรรมชาติได้มากกว่า
ทดสอบบนแก้ม : ด้วยการทาครีมรองพื้นสามสีเป็นแถบเล็ก ๆ เรียงกันไปตามกระดูกโหนกแก้ม จะช่วยให้คุณมองเห็นเฉดสีได้ชัดกว่าการลองทาบนแขน ข้อมือ หรือหลังมือ
ใช้แสงธรรมชาติ : หลังจากลองทาเครื่องสําอางเกาหลี เสร็จแล้ว ก็หันหน้าเข้าหาหน้าต่างพร้อมกับส่องกระจกดู ถ้าแถบสีรองพื้นสีไหนเลือนหายไปกับสีผิว ก็สีนั้นนั่นแหละที่เป็นสีที่เหมาะสำหรับคุณ
ที่มา..guru.thaibizcenter.com
เคล็ดลับ การเลือกโฟมล้างหน้า
สิ่งหนึ่งที่เราต้องใช้อยู่คือโฟมหรือสบู่ล้างหน้า ซึ่งจะช่วยกำจัดฝุ่นละอองและกำจัดน้ำมันส่วนเกินบริเวณใบหน้าออกไป ทำให้ใบหน้าปราศจากสิ่งติดค้างหรือสิ่งสกปรกอุดตันที่ทำให้เกิดสิว
ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ล้างหน้ามีหลายประเภท ทั้งเจล โฟม ครีม หรือว่าสบู่ etude house และยังแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือแบบมีฟอง และแบบไม่มีฟอง
ล้างหน้าแบบมีฟองกับไม่มีฟอง ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ล้างหน้าปกติจะช่วยกำจัดคราบมันบนผิวหน้าออกไป ซึ่งชนิดที่มีฟองนี้จะมีประจุลบอยู่ ซึ่งหากว่าไปจับอยู่กับสารที่มีประจุบวกบนใบหน้าแล้วตกค้างอยู่ละก็ ก็จะทำให้หน้าเป็นสิวหรือมีริ้วรอย นอกจากนี้ยังทำให้หน้าแห้งตึงมากกว่าชนิดไม่มีฟอง
นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ดีควรมีคุณสมบัติหรือว่าส่วนผสมเหล่านี้
มอยส์เจอไรเซอร์ มอยส์เจอไรโซอร์ เป็นตัวสร้างความชุ่มชื้นให้กับผิว ซึ่งเมื่อเราล้างหน้าไปแล้วนั้น ใบหน้าเราจะสูญเสียความชุ่มชื้นที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เราเลยต้องเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า ยกเว้นคนที่มีผิวมัน ก็ควรใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสำหรับผิวมันโดยเฉพาะ
วิตามินอี หรือ ซี ไม่ว่าจะเป็นวิตามินอีหรือวิตามินซีก็ต่างเป็นวิตามินที่ช่วยบำรุงผิว ลบเลือนริ้วรอย จุดด่างดำต่างๆ ทำให้ใบหน้าของเรากระจ่างใสยิ่งขึ้น ก็ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสูตรที่สามารถบำรุงผิวขณะล้างหน้าไปด้วยใน ตัว
คำว่า Hypo-allergenic เมื่อจะซื้อผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับใบหน้าทุกครั้งให้ตรวจสอบดูว่ามีคำว่า Hypo- allergenic หรือไม่ เพราะหากว่ามี แสดงว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไม่มีสารที่ทำให้เราเกิดการแพ้ เพราได้รับการตรวจสอบจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแล้วเพราะเป็นผิวหน้าเราเลยต้อง ระวังหน่อย หากแพ้ขึ้นมาแล้วก็คงแก้ไขอะไรลำบากกว่าจะกลับมาสวยอย่างเดิม
ค่าความเป็นกรดด่าง
ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าไม่ว่าจะเป็นเจล โฟม หรือสบู่ด่างก็มีค่าความเป็นกรดด่าง หรือว่าค้า PH ที่แตกต่างกัน ซึ่งค่าความเป็นกรดด่าง ที่เหมาะสมกับผิวหน้าของเราจะอยู่ที่ประมาณ 0.5 - 5.5 ซึ่งจะใกล้เคียงกับค่าความเป็นกรดด่างบริเวณใบหน้าเรามากที่สุด
คำว่า Non-Comedogenic หากมีคำนี้อยู่บนผลิตภัณฑ์etude house ก็ให้เราเชื่อได้เลยว่าผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ไม่มีสาร ที่ทำให้มีสิ่งตกค้างเหลืออุดตันบริเวณรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิว
ที่มา..women.thaiza.com
เคล็ดลับการมีผิวขาว ใส ไร้ริ้วรอย
ผู้หญิง ทุกคนอยากมีผิวที่ขาวใส ไร้ริ้วรอย และจุดด่างดำ แต่ถ้าคุณไม่มีเคล็บลับในการทำให้ตัวเองมีผิวขาวๆ แล้วล่ะก็ วันนี้เรามีวิธีดีๆ ที่ช่วยให้คุณมีผิวขาวๆ มาฝากกันค่ะ
คุณเคยรู้สึกแปลกใจบ้างไหมว่าเหตุใดผู้หญิง บางคนจึงมีประกายความงามโดดเด่น สะดุดตาคุณเหลือเกิน
ทั้ง ๆ ที่เธอผู้นั้นก็ไม่ได้มีใบหน้าที่สวยสมบูรณ์แต่อย่างใด อันที่จริงแล้วคุณเองก็สามารถเป็นอีกคนหนึ่งที่มีความงามโดดเด่นได้เช่นกัน เพียงเอาใจใส่และดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ
เคล็ดลับง่าย ๆ ของการมีผิวสวยใส ไร้ริ้วรอย คือ การรู้จักเลือกใช้ครีมบำรุงผิวอย่างเข้าใจ
เลือกใช้ครีมบำรุงผิวอย่างไรจึงจะดี
ครีมบำรุงผิวโดยทั่วไปที่ผู้หญิง ส่วนใหญ่ใช้จะมีองค์ประกอบหลัก คือ น้ำ น้ำมัน และสารอีมัลชั่น ครีมหน้าใส ซึ่งจะช่วยให้น้ำและน้ำมันเข้ากันเป็นเนื้อครีมอย่างที่เห็นโดยทั่วไป ครีมบำรุงผิวที่ดี เมื่อทาบนผิวหนังแล้วเนื้อครีมควรจะเข้ากับผิวหนังได้ดี ไม่ทำให้รู้สึกเหนียวเหนอะหนะและเนื้อครีมควรกระจายได้ง่ายบนผิวหนัง ที่สำคัญต้องช่วยปกป้องผิวหนังได้นานหลายชั่วโมงในแต่ละวัน องค์ประกอบของน้ำมันต้องซึมซาบได้ดี สามารถซึมลึกสู่ผิวหนังกำพร้าชั้นลึกลงไปได้ ปัจจุบันจึงมีการเลือกสรรชนิดของน้ำมันที่จะให้ประโยชน์ต่อผิวหนังมากกว่า การเป็นเพียงน้ำมันที่เป็นสารหล่อลื่นผิวหนังธรรมดา เช่น น้ำมันโจโจ้บาน้ำมันจากดอกทานตะวัน น้ำมันจากผลแตงกวา และอื่น ๆ น้ำมันที่สกัดจากสมุนไพรธรรมชาติเหล่านี้ อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อเซลล์ผิวหนัง นอกจากนี้ครีมบำรุงผิวที่ดีควรจะมีอาหารเสริมให้แก่ผิวหนังอีกด้วย วิตามินชนิดต่าง ๆ รวมถึงสมุนไพรที่ได้รับการวิจัย ค้นพบและรับรองว่าปลอดภัย เช่น วิตามินเอ, วิตามินอี, วิตามินซี, โคเอ็นไซม์ Q10 เป็นต้น
วิตามิน เหล่านี้ได้ชื่อว่าเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ หรือสารต้านการเกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของริ้วรอยแห่งวัย ซึ่งสารต้านการเกิดอนุมูลอิสระสามารถจำแนกได้เป็น 2 ชนิด คือ
1.สาร แอนตี้ออกซิแดนท์ชนิดเอนไซม์ (Enzymatic Anti-Oxidants) ปกป้องเซลล์ที่อยู่ภายในร่างกาย ได้แก่ ซุปเปอร์ออกไซด์ ดิสมิวเทส (Super Oxide Dismutase - SOD) คาทาเลส (Catalase) กลูทาไทโอน เพอร์ออกซิเดส (Glutathione Peroxidases - GSHP) กลูทาไทโอน รีดักเทส (Glutathione Reductase) และกลูโคส-6-ฟอสเฟต ดีไฮโดรจีเนส (Glucose-6-Phosphate Dehydrogenase - G-6-PD)
2.สารแอนตี้ออกซิแอนท์ที่ไม่ใช่ เอนไซม์ (Non-Enzymatic Anti-Oxidants) มีโมเลกุลขนาดเล็ก ทำงานได้ทั้งภายในและภายนอกเซลล์ แต่จะทำงานภายนอกเซลล์เป็นส่วนใหญ่คือ ในเส้นเลือด และระหว่างชั้นเนื้อเยื่อ โดยแบ่งประเภทตามการละลายได้เป็น 2 ชนิด
•ไฮโดรฟิลิก แอนตี้ออกซิแดนท์ (Hydrophilic Anti-Oxidants) คือ สารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในน้ำ เช่น กรดแอสคอร์บิกหรือวิตามินซี
•ไลโพฟิลิก แอนตี้ออกซิแดนท์ (Lipophilic Anti-Oxidants) คือ สารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในไขมัน ได้แก่ อัลฟ่า โตโกฟิรอล (Alpha Tocopherol) หรือ วิตามินอี, เบต้าแคโรทีน (Beta Carotene), ยูบีควิโนน-ยูบีควินอล (Ubiquinone-Ubiquinol) และรีดิวส์ กลูทาไทโอน (Reduced Glutathione - GSHR)
ผิวชั้นนอก (Epidermis) มีปริมาณของสารแอนตี้ออกซิแดนท์มากกว่าผิวชั้นใน (Dermis) หลายเท่า เนื่องจากเป็นส่วนที่ปกคลุมร่างกายชั้นนอกสุด จึงต้องมีระบบต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นปราการด่านแรกในการปกป้องผิวจากมลภาวะต่าง ๆ
คุณสมบัติสำคัญของสารแอนตี้ออกซิแดนท์ในอุดมคติที่นักวิทยาศาสตร์คิดค้นเพื่อนำมาใช้ผสมในครีมบำรุงผิวต่อต้านริ้วรอย คือ
1.มีหน้าที่สำคัญทางสรีรศาสตร์ต่อผิวหนัง
2.สามารถต่อต้านอนุมูลอิสระได้หลายชนิด
3.หาง่าย ไม่เป็นพิษและไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง
4.ดูดซึมทางผิวหนังได้ดีในรูปของสารออกฤทธิ์
5.ผลิตภัณฑ์มีความคงตัว ครีมหน้าใส
6.ไม่เกิดการสันดาปกับออกซิเจนได้ง่าย ๆ ในบริเวณส่วนของผิวที่ต้องการการซ่อมแซมและปกป้อง
ที่มา..108health.com
หน้าเรียวเสกได้ด้วยการเมคอัพ
หาก
คุณเป็นอีกคนที่มีปัญหาหน้าอวบอูม
ทำให้รู้สึกไม่ค่อยมั่นใจในการไปพบปะใครเท่าไหร่
ลองมาเนรมิตหน้าเรียวด้วยการเมคอัพกันดูไหมคะ
เห็นความเปลี่ยนแปลงทันใจแบบไม่ต้องอดอาหารหรือว่ารอผลจากการออกกำลังกายเลย
ล่ะ วิธีนี้เรียกว่าคอนทัวริ่งหรือการสร้างเค้าโครงให้กับใบหน้านั่นเองค่ะ ขอบอกว่าไม่ยากเลยล่ะ อยากรู้แล้วก็ไปเริ่มต้นกันเลยค่ะ
1. เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม
อุปกรณ์ที่ควรจำเป็นต้องมีในการคอนทัวริ่งใบหน้า เพื่อสร้างรูปหน้าที่เรียวลง ได้แก่ แปรงบลัชหัวเฉียงและแปรงอายแชโดว์แบบหัวฟูนิ่ม เครื่องสําอางเกาหลี
2. สีหลักคือสีน้ำตาล
สีหลักที่ใช้ในการวาดเค้าโครงใบหน้าให้เรียวลงคือสีน้ำตาล และต้องเป็นเนื้อแมทที่ไม่มีความแวววาวหรือประกายใด ๆ ทั้งสิ้น คุณสามารถใช้ได้ทั้งเฉดดิ้งสีน้ำตาล บลัชสีน้ำตาล บรอนเซอร์สีน้ำตาล หรือว่าอายแชโดว์สีน้ำตาล ก็ได้ค่ะ
3. ปัดสีน้ำตาลใต้โหนกแก้ม
ใช้แปรงบลัชหัวตัดแตะสีน้ำตาลขึ้นมา เคาะฝุ่นแป้งส่วนเกินออก จากนั้นทำปากจู๋ใส่กระจก คุณจะมองเห็นโหนกแก้มของตัวเองชัดขึ้น ใช้แปรงไล้ไปตามแนวใต้โหนกแก้ม จากนั้นปัดวนเป็นรูปวงกลม เบลนด์ให้กลืนกับผิวดี
4. เสริมดั้ง
ใบหน้าที่มองเห็นสันจมูกชัดเจนจะช่วยให้หน้าดูเรียวลงได้ ใช้แปรงอายแชโดว์แตะอายแชโดว์สีน้ำตาล แล้วลากเป็นแนวตั้งแต่หัวคิ้ว ด้านข้างสันจมูก จนมาหยุดที่ด้านข้างของปลายจมูก ทำเช่นนี้ทั้งข้างด้านซ้ายและขวา จากนั้นใช้แปรงอายแชโดว์แบบหัวฟูเบลนด์เส้นสีน้ำตาลเข้าไปทางปีกจมูก ให้กลืนไปกับผิวดีทั้งสองข้าง คราวนี้ลองส่องกระจกดูอีกครั้ง หน้าตาคุณจะดูคมขึ้นเพราะมองเห็นสันจมูกชัดเจน
5. โฮไลท์
ปัดไฮไลท์ที่สันจมูกและโหนกแก้ม นอกจากจะทำให้ผิวดูเปล่งปลั่งดีแล้ว ยังทำให้เห็นส่วนโครงหน้าที่ควรจะนูนเด่นขึ้นมาเพื่อให้รูปหน้าดูเรียงลงได้ ชัดเจนยิ่งขึ้นด้วย
6. ปัดแก้ม
หยิบบลัชสีโปรดเครื่องสําอางเกาหลีขึ้นมาเพิ่มความระเรื่องสุกปลั่งให้กับพวงแก้ม ใบหน้าที่ดูเรียวลงแล้วจะได้มีสีสันมากขึ้น
ทุกขั้นตอนในการเสกหน้าเรียวด้วยเมคอัพไม่ยากเลยใช่ไหมคะ แม้ว่ายามลองแต่งครั้งแรก ๆ อาจจะดูมากไปน้อยไป ไม่สวยเป๊ะ แต่ถ้าได้ฝึกฝนฝีมืออีกสักหน่อยก็น่าจะคล่องเป๊ะได้ไม่ยาก ถึงเวลานั้นแล้วก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการแต่งหน้ากับหน้าอวบอูมอีกเลยล่ะค่ะ
ที่มา..guru.thaibizcenter.com
1. เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม
อุปกรณ์ที่ควรจำเป็นต้องมีในการคอนทัวริ่งใบหน้า เพื่อสร้างรูปหน้าที่เรียวลง ได้แก่ แปรงบลัชหัวเฉียงและแปรงอายแชโดว์แบบหัวฟูนิ่ม เครื่องสําอางเกาหลี
2. สีหลักคือสีน้ำตาล
สีหลักที่ใช้ในการวาดเค้าโครงใบหน้าให้เรียวลงคือสีน้ำตาล และต้องเป็นเนื้อแมทที่ไม่มีความแวววาวหรือประกายใด ๆ ทั้งสิ้น คุณสามารถใช้ได้ทั้งเฉดดิ้งสีน้ำตาล บลัชสีน้ำตาล บรอนเซอร์สีน้ำตาล หรือว่าอายแชโดว์สีน้ำตาล ก็ได้ค่ะ
3. ปัดสีน้ำตาลใต้โหนกแก้ม
ใช้แปรงบลัชหัวตัดแตะสีน้ำตาลขึ้นมา เคาะฝุ่นแป้งส่วนเกินออก จากนั้นทำปากจู๋ใส่กระจก คุณจะมองเห็นโหนกแก้มของตัวเองชัดขึ้น ใช้แปรงไล้ไปตามแนวใต้โหนกแก้ม จากนั้นปัดวนเป็นรูปวงกลม เบลนด์ให้กลืนกับผิวดี
4. เสริมดั้ง
ใบหน้าที่มองเห็นสันจมูกชัดเจนจะช่วยให้หน้าดูเรียวลงได้ ใช้แปรงอายแชโดว์แตะอายแชโดว์สีน้ำตาล แล้วลากเป็นแนวตั้งแต่หัวคิ้ว ด้านข้างสันจมูก จนมาหยุดที่ด้านข้างของปลายจมูก ทำเช่นนี้ทั้งข้างด้านซ้ายและขวา จากนั้นใช้แปรงอายแชโดว์แบบหัวฟูเบลนด์เส้นสีน้ำตาลเข้าไปทางปีกจมูก ให้กลืนไปกับผิวดีทั้งสองข้าง คราวนี้ลองส่องกระจกดูอีกครั้ง หน้าตาคุณจะดูคมขึ้นเพราะมองเห็นสันจมูกชัดเจน
5. โฮไลท์
ปัดไฮไลท์ที่สันจมูกและโหนกแก้ม นอกจากจะทำให้ผิวดูเปล่งปลั่งดีแล้ว ยังทำให้เห็นส่วนโครงหน้าที่ควรจะนูนเด่นขึ้นมาเพื่อให้รูปหน้าดูเรียงลงได้ ชัดเจนยิ่งขึ้นด้วย
6. ปัดแก้ม
หยิบบลัชสีโปรดเครื่องสําอางเกาหลีขึ้นมาเพิ่มความระเรื่องสุกปลั่งให้กับพวงแก้ม ใบหน้าที่ดูเรียวลงแล้วจะได้มีสีสันมากขึ้น
ทุกขั้นตอนในการเสกหน้าเรียวด้วยเมคอัพไม่ยากเลยใช่ไหมคะ แม้ว่ายามลองแต่งครั้งแรก ๆ อาจจะดูมากไปน้อยไป ไม่สวยเป๊ะ แต่ถ้าได้ฝึกฝนฝีมืออีกสักหน่อยก็น่าจะคล่องเป๊ะได้ไม่ยาก ถึงเวลานั้นแล้วก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการแต่งหน้ากับหน้าอวบอูมอีกเลยล่ะค่ะ
ที่มา..guru.thaibizcenter.com
วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
การแต่งหน้าด้วยการไฮไลท์เฉดดิ้ง
วันนี้เรามารู้เรื่องเกี่ยวกับ การทำ ไฮไลท์เฉดดิ้ง
ช่วยแก้ไขโครงหน้าโดยไม่ต้องพึ่งพาการศัลยกรรม
แต่ต้องอากาศัยการฝึกฝนด้วยนะจ๊ะ เราไปดูกันเลยดีว่ามีการทำยังไง
สิ่งที่ต้องเตรียม
ส่วนที่เราจะทำ ไฮไลท์ เฉดดิ้งนั้นมีกันไม่กี่ส่วนเรามาดูส่วนที่เราต้องทำไฮไลท์กันก่อน และ ก็ต่อด้วยการทำ เฉดดิ้งนะจ๊ะ
ไฮไลท์จะต้องทำส่วนไหนบ้าง ?
การทำไฮไลท์etude house บน ใบหน้าจะมีแค่ประมาณ 5 จุดหลัก ๆ แต่ก่อนอื่นเราต้องรู้ด้วยว่าเรามีโครงหน้าเป็นลักษณะแบบไหน ส่วนที่จะทำไฮไลท์นั้นจะมีดังนี้
1. ส่วนหน้าผากที่สูงขึ้นมาจากคิ้วประ 1 ซม.ช่วยในการดึงหน้าผากให้ดูสูงได้รูป
2. ส่วนโหนกคิ้ว คือตรงส่วนบริเวณท้องคิ้ว ทำให้คิ้วเราดูโกงขึ้น
3. ส่วนโหนกแก้ม คือส่วนที่อยู่ใต้ตาของเราประมาณ 1.5 ซม. ทำให้แก้มเราดูยกขึ้น
4. ส่วนคาง สาวๆ คนไหนเป็นคนคางสั้นเนี้ยเติมตรงนี้เยอะๆ เลยจ้าการทำไฮไลท์ส่วนนี้จะทำให้คางเราดูยาวขึ้น
5. ส่วนดั้งจมูกจ๊ะ ใครจมูกไม่สวยยังไม่ได้ไปเสริม เราใช้วิธีการไฮไลท์ตรงส่วนนี้ไปก่อนเลยจ้าช่วยให้เราดูมีดั้งขึ้นมาทันทีเลยนะเอ่อ
เฉดดิ้งจะต้องทำตรงส่วนไหนบาง ?
การทำเฉดดิ้งเรียกง่ายก็คือการสร้างเงาให้กับใบหน้าเนื่องจากบางคนมีโครง หน้าที่กลม เหลี่ยม แต่ต่างกันออกไป เพื่อลบจุดบกพร่องของใบหน้าที่เราไม่ต้องการทำให้โครงหน้าของเราดูมีมิติมาก ขึ้นในการแต่งหน้า เราไปดูกันว่ามันจะต้องทำส่วนไหนบ้าง
1. ส่วนหน้าผากใต้ไรผมลงมา ส่วนนี้จะทำให้คนที่มีหน้าผากกว้างทำให้หน้าผากดูแคบลง
2. ส่วนข้างแก้มชิดกับไรผมลงมา ส่วนนี้จะช่วยทำให้ใบหน้าเราดูเรียวขึ้นโดยไม่ต้องศัลยกรรม
3. ส่วนใต้คาง สาวๆ บางคนมีคาง 2 ชั้นหรือมีมีใบหน้ากลมส่วนคางไม่มีความเรียวเราก็ต้องใช้
การเฉดดิ้งตรงส่วนนี้
4 . ส่วนด้านข้างจมูกทั้ง 2 ด้าน ตรงส่วนจะทำให้จมูกเราดูมีความสูงขึ้น
เห็นไมคะการทำไฮไลท์ etude house เฉดดิ้งนั้นไม่ยากอย่างที่คิดขอให้สาวๆ หลายๆคนหมั่นฝึกฝนบ่อยๆเชื่อว่าสาวๆหลายคนต้องสวยแบบไม่ต้องพึ่งพาศัลยกรรมเลยจ๊ะ
ที่มา..minebeauty.com
สิ่งที่ต้องเตรียม
- อายแชร์โดว์สีน้ำตาลเอาแบบที่ไม่มีชิมเมอร์นะจ๊ะ
- อายแชร์โดว์สีขาว หรือ สีสว่าง จะมีชิมเมอร์หรือไม่มีชิมเมอร์ก็ได้จ๊ะ
ส่วนที่เราจะทำ ไฮไลท์ เฉดดิ้งนั้นมีกันไม่กี่ส่วนเรามาดูส่วนที่เราต้องทำไฮไลท์กันก่อน และ ก็ต่อด้วยการทำ เฉดดิ้งนะจ๊ะ
ไฮไลท์จะต้องทำส่วนไหนบ้าง ?
การทำไฮไลท์etude house บน ใบหน้าจะมีแค่ประมาณ 5 จุดหลัก ๆ แต่ก่อนอื่นเราต้องรู้ด้วยว่าเรามีโครงหน้าเป็นลักษณะแบบไหน ส่วนที่จะทำไฮไลท์นั้นจะมีดังนี้
1. ส่วนหน้าผากที่สูงขึ้นมาจากคิ้วประ 1 ซม.ช่วยในการดึงหน้าผากให้ดูสูงได้รูป
2. ส่วนโหนกคิ้ว คือตรงส่วนบริเวณท้องคิ้ว ทำให้คิ้วเราดูโกงขึ้น
3. ส่วนโหนกแก้ม คือส่วนที่อยู่ใต้ตาของเราประมาณ 1.5 ซม. ทำให้แก้มเราดูยกขึ้น
4. ส่วนคาง สาวๆ คนไหนเป็นคนคางสั้นเนี้ยเติมตรงนี้เยอะๆ เลยจ้าการทำไฮไลท์ส่วนนี้จะทำให้คางเราดูยาวขึ้น
5. ส่วนดั้งจมูกจ๊ะ ใครจมูกไม่สวยยังไม่ได้ไปเสริม เราใช้วิธีการไฮไลท์ตรงส่วนนี้ไปก่อนเลยจ้าช่วยให้เราดูมีดั้งขึ้นมาทันทีเลยนะเอ่อ
เฉดดิ้งจะต้องทำตรงส่วนไหนบาง ?
การทำเฉดดิ้งเรียกง่ายก็คือการสร้างเงาให้กับใบหน้าเนื่องจากบางคนมีโครง หน้าที่กลม เหลี่ยม แต่ต่างกันออกไป เพื่อลบจุดบกพร่องของใบหน้าที่เราไม่ต้องการทำให้โครงหน้าของเราดูมีมิติมาก ขึ้นในการแต่งหน้า เราไปดูกันว่ามันจะต้องทำส่วนไหนบ้าง
1. ส่วนหน้าผากใต้ไรผมลงมา ส่วนนี้จะทำให้คนที่มีหน้าผากกว้างทำให้หน้าผากดูแคบลง
2. ส่วนข้างแก้มชิดกับไรผมลงมา ส่วนนี้จะช่วยทำให้ใบหน้าเราดูเรียวขึ้นโดยไม่ต้องศัลยกรรม
3. ส่วนใต้คาง สาวๆ บางคนมีคาง 2 ชั้นหรือมีมีใบหน้ากลมส่วนคางไม่มีความเรียวเราก็ต้องใช้
การเฉดดิ้งตรงส่วนนี้
4 . ส่วนด้านข้างจมูกทั้ง 2 ด้าน ตรงส่วนจะทำให้จมูกเราดูมีความสูงขึ้น
เห็นไมคะการทำไฮไลท์ etude house เฉดดิ้งนั้นไม่ยากอย่างที่คิดขอให้สาวๆ หลายๆคนหมั่นฝึกฝนบ่อยๆเชื่อว่าสาวๆหลายคนต้องสวยแบบไม่ต้องพึ่งพาศัลยกรรมเลยจ๊ะ
ที่มา..minebeauty.com
วิธีการนวดหน้าสไตล์เกาหลี
เคยสงสัยกันบ้างไหมค่ะว่าสาวเกาหลีนั้นทำไมถึงยังหน้าเด็ก
และมีผิวพรรณที่เรียบเนียนกัน เพราะเขามีเคล็บลับการยวดหน้าดีๆ
ที่ช่วยให้ใบหน้าของสาวเกาหลีนั้นอยู่เด็กลงตลอดเวลาคะ
ผู้หญิงส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการปกป้องจากแสงแดด เพื่อป้องกันความร่วงโรยและความหมองคล้ำ
แต่ลืมให้ความสำคัญกับปัจจัยที่แท้จริงที่ส่งผลให้ผิวแลดูร่วงโรย ครีมหน้าใส นั่นคืออุณหภูมิความร้อนที่มาจากทั้งภายในผิวเองและอุณหภูมิความร้อนจากสภาพ อากาศ โดยเฉพาะประเทศไทยที่นับวันยิ่งต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่ร้อนจัด
โซ ลวาซู (Sulwhasoo) แบรนด์เครื่องสำอางจากประเทศเกาหลี นำศาสตร์แห่งการปรนนิบัติผิวดั้งเดิม มาเป็นแรงบันดาลใจในการค้นคว้าและวิจัยยาวนานกว่า 10 ปี ผู้หญิงเกาหลีมีวิธีปรนนิบัติผิวพรรณเพื่อคลายอุณหภูมิความร้อนบนใบหน้า เหมาะสำหรับผู้หญิงเอเชียโดยเฉพาะ เพื่อผิวสวยสมบูรณ์แบบ เริ่มจากการบำรุงผิวตามปกติ แล้วเพิ่มขั้นตอนการปรนนิบัติด้วยผลิตภัณฑ์ที่สามารถปลอบประโลมผิวให้ชุ่ม ชื้น และให้สัมผัสที่เย็นสบายแก่ผิว ตามด้วยขั้นตอนการกดจุดที่ถูกออกแบบรังสรรค์ขึ้นมาเป็นพิเศษ ดังนี้
1.กดจุดเบาๆ ช่วงระหว่างหางคิ้วและหางตา จะช่วยบรรเทาความร้อนและอาการแดง
2.กดจุดช่วงร่องจมูก ช่วยปรับผิวกระจ่างใสและบรรเทาความร้อนในผิว สำหรับผิวบอบบาง
ครีมหน้าใสเพื่อ ปกป้องผิวจากอุณหภูมิความร้อนควรใช้ครีมกันแดดที่มีเอสพีเอฟ 30 พีเอ++ ขึ้นไป ที่จะช่วยฟื้นฟูบำรุงและปกป้องผิวจากแสงแดด ใช้มาสก์หน้าเพื่อช่วยปรนนิบัติและบำรุงผิว หลังจากวันที่ออกแดด หรือเผชิญกับมลภาวะความร้อนระหว่างวัน โดยแนะนำให้ใช้เป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนการพักผ่อนยามค่ำคืน เพื่อช่วยควบคุมระดับอุณหภูมิผิวแม้ขณะหลับ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก.posttoday.com
ผู้หญิงส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการปกป้องจากแสงแดด เพื่อป้องกันความร่วงโรยและความหมองคล้ำ
แต่ลืมให้ความสำคัญกับปัจจัยที่แท้จริงที่ส่งผลให้ผิวแลดูร่วงโรย ครีมหน้าใส นั่นคืออุณหภูมิความร้อนที่มาจากทั้งภายในผิวเองและอุณหภูมิความร้อนจากสภาพ อากาศ โดยเฉพาะประเทศไทยที่นับวันยิ่งต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่ร้อนจัด
โซ ลวาซู (Sulwhasoo) แบรนด์เครื่องสำอางจากประเทศเกาหลี นำศาสตร์แห่งการปรนนิบัติผิวดั้งเดิม มาเป็นแรงบันดาลใจในการค้นคว้าและวิจัยยาวนานกว่า 10 ปี ผู้หญิงเกาหลีมีวิธีปรนนิบัติผิวพรรณเพื่อคลายอุณหภูมิความร้อนบนใบหน้า เหมาะสำหรับผู้หญิงเอเชียโดยเฉพาะ เพื่อผิวสวยสมบูรณ์แบบ เริ่มจากการบำรุงผิวตามปกติ แล้วเพิ่มขั้นตอนการปรนนิบัติด้วยผลิตภัณฑ์ที่สามารถปลอบประโลมผิวให้ชุ่ม ชื้น และให้สัมผัสที่เย็นสบายแก่ผิว ตามด้วยขั้นตอนการกดจุดที่ถูกออกแบบรังสรรค์ขึ้นมาเป็นพิเศษ ดังนี้
1.กดจุดเบาๆ ช่วงระหว่างหางคิ้วและหางตา จะช่วยบรรเทาความร้อนและอาการแดง
2.กดจุดช่วงร่องจมูก ช่วยปรับผิวกระจ่างใสและบรรเทาความร้อนในผิว สำหรับผิวบอบบาง
ครีมหน้าใสเพื่อ ปกป้องผิวจากอุณหภูมิความร้อนควรใช้ครีมกันแดดที่มีเอสพีเอฟ 30 พีเอ++ ขึ้นไป ที่จะช่วยฟื้นฟูบำรุงและปกป้องผิวจากแสงแดด ใช้มาสก์หน้าเพื่อช่วยปรนนิบัติและบำรุงผิว หลังจากวันที่ออกแดด หรือเผชิญกับมลภาวะความร้อนระหว่างวัน โดยแนะนำให้ใช้เป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนการพักผ่อนยามค่ำคืน เพื่อช่วยควบคุมระดับอุณหภูมิผิวแม้ขณะหลับ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก.posttoday.com
16 เคล็ดลับการเมคอัพสำหรับมือใหม่หัดแต่ง
ไม่ว่าคุณจะเป็นสาวแรกรุ่นหรือเป็นสาวมานานแล้ว แต่หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ยังแต่งหน้าไม่เป็น นี่น่าจะเป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับคุณได้ค่ะ เคล็ด
ลับการเมคอัพสำหรับมือใหม่หัดแต่ง
ที่จะคอยเป็นไกด์ไลน์ให้คุณหยิบจับเครื่องสำอางและใช้มันแต่งหน้าได้อย่าง
มั่นใจมากยิ่งขึ้น และสนุกที่จะได้ทดลองมากขึ้น ก็ไก่ยังงามเพราะขน
คนเราก็ต้องงามเพราะแต่งด้วยนะคะ
1. ทำความรู้จักกับผิวตัวเอง
สิ่งสำคัญที่จะทำให้คุณแต่งหน้าออกมาได้ประสบความสำเร็จ (ออกมาสวยและดูดีนั่นเอง) ก็คือต้องรู้จักกับสภาพผิวของตัวเองเสียก่อน รู้ว่าผิวของคุณเป็นแบบไหนแห้ง หรือมัน มีจุดด่างดำเยอะแค่ไหน ต้องการปกปิดมากเท่าไหร่ แพ้ง่ายหรือเปล่า สีผิวเฉดอะไร ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณเลือกเครื่องสำอาง เครื่องสําอางเกาหลี ได้ถูกต้องและเหมาะกับผิว รวมทั้งรู้วิธีการบำรุงผิวที่เหมาะสมกับตัวเองด้วย
2. บำรุงเพิ่มความชุ่มชื้น
เลือกบำรุงผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์สูตรที่เหมาะสมกับสภาพผิวของคุณ ไม่ว่าจะเป็นผิวมัน ผิวแห้ง ผิวผสม หรือว่าผิวแพ้ง่าย
3. ไพร์เมอร์
เมื่อบำรุงผิวแล้วขั้นตอนต่อมาก็เป็นการใช้ไพรม์เมอร์ ซึ่งจะช่วยให้เครื่องสำอางที่จะแต่งลงไปหลังจากนี้ติดทนนาน สีสดไม่ลบเลือน ทำให้ใบหน้าของคุณดูสดใสได้ตลอดทั้งวัน
4. เลือกเฉดสีที่พอดีกับผิว
เมื่อได้ทำความรู้จักกับสภาพผิวและสีผิวของตัวเองไปเป็นอย่างดีแล้ว คราวนี้ก็มาถึงขั้นตอนของการเลือกซื้อและเลือกใช้เครื่องสำอาง โดยเฉพาะส่วนของรองพื้น คุณควรเลือกสีที่พอดีกับสีผิวจริง ๆ ของคุณ เพราะมันจะได้แนบเนียนสนิทเป็นธรรมชาติ ไม่ทำให้เห็นความต่างระหว่างผิวส่วนที่ทารองพื้นกับผิวเปลือย
5. อย่าลืมคอ!
หากไม่อยากให้ใครเดินเข้ามาทักว่าใช้รองพื้นเบอร์อะไร หน้าขาวลอยออกมาเชียว! ก็อย่าลืมเกลี่ยรองพื้นไม่ว่าจะเป็นเนื้อฝุ่นหรือว่าเนื้อครีมลงไปยังลำคอ ของคุณด้วย คราวนี้สีผิวจะได้สม่ำเสมอเรียบเนียน ไม่ต้องกลัวคนทักให้อายอีกแล้ว
6. เนื้อฝุ่น กับ เนื้อครีม อย่างไหนดีกว่ากัน
สาวนักแต่งหน้ามือใหม่คงจะสับสนว่าควรเลือกใช้รองพื้นและบลัชแบบไหนดี เพราะปัจจุบันมีทั้งแบบเนื้อฝุ่นและเนื้อครีมให้เลือกใช้ คำตอบก็คือไม่สามารถบอกได้ว่าอะไรดีกว่ากัน อยู่ที่คุณได้ลองแล้วถนัดใช้แบบไหนมากกว่านั่นเอง
7. บรอนเซอร์
นักเมคอัพมือใหม่อาจรู้สึกว่าการใช้บรอนเซอร์แต่งหน้าแล้วทำให้หน้าดูน่า กลัว ซึ่งนั่นน่าจะเป็นเพราะคุณหนักมือกับมันมากเกินไป สำหรับคนที่ยังหัดแต่งหน้าอยู่ ให้ลองใช้บรอนเซอร์เพียงเล็กน้อยปัดเบา ๆ ที่หน้าผาก โหนกแก้ม และสันจมูก รับรองว่าจะทำให้ใบหน้าดูมีมิติมากขึ้น และยังได้ผิวที่ดูบ่มแดดเล็ก ๆ ด้วย
8. บลัช
บลัช ดูเหมือนจะเป็นเครื่องสำอางชิ้นแรก ๆ ที่สาวหัดเมคอัพส่วนใหญ่มีในครอบครอง จงจำเอาไว้ว่าให้เลือกบลัชที่เข้ากันได้ดีกับสีผิวของคุณ และปัดแค่พอระเรื่อเท่านั้น อย่าหนักมือปัดจนแก้มแดงเถือกเป็นอันขาด
9. มาสคาร่า
ไม่มีสูตรตายตัวสำหรับการเลือกใช้มาสคาร่า คุณสามารถเลือกลองได้หลาย ๆ ยี่ห้อจนกว่าจะพบแบบที่พอใจ จำไว้แต่หลักการเลือกเพียงว่า ขนตาสั้นให้เลือกแบบเพิ่มความยาว แต่ถ้าขนตาบางให้เลือกแบบเพิ่มความหนา และอย่าลืมเลือกแบบที่กันน้ำได้ด้วยนะคะ
10. อายไลน์เนอร์
นี่เป็นเมคอัพไอเท็มอีกหนึ่งชิ้นที่จะเปลี่ยนลุคของคุณได้ง่าย ๆ และเหมาะกับสาวตาตี่ เพราะจะทำให้ตาดู "ตื่น" และสดใส ลองกรีดอายไลน์เนอร์หลาย ๆ แบบ ทั้งตวัดขึ้นแบบ cat eye ลากตรง ๆ หากไม่ตวัด หรือลากหนา ๆ ให้ตาดูดำเข้ม ฯลฯ แล้วคุณจะได้พบตัวเองในลุคที่หลากหลาย เก็บเป็นแรงบันดาลใจได้ในการแต่งหน้าสำหรับโอกาสต่าง ๆ
11. เขียนคิ้ว
แค่จัดคิ้วให้ได้รูปทรงก็ทำให้ดวงตาของคุณดูสดใสขึ้นได้มากแล้ว สาวคิ้วบางจะใช้ที่เขียนคิ้วแบบดินสอหรือแบบเนื้อฝุ่นเพื่อเติมความคมเข้ม ให้คิ้วก็ได้ ส่วนสาวคิ้วหนาลองกันคิ้วออกบ้างให้ได้รูปสวย เท่านี้ใบหน้าและดวงตาก็ดูสดใสขึ้นเยอะแล้ว
12. ลิปสติก
เพื่อเลือกลิปสติกสีที่ใช่สำหรับตัวคุณ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้ลองทาและดูว่าสีไหนที่ขับผิวให้คุณดูเปล่งปลั่ง ทำให้ริมฝีปากคุณดูอิ่มเอิบมากที่สุด
13. ลิปกลอส
ถ้าคุณรู้สึกไม่ถูกใจสีสันสด ๆ และจัดจ้านจากลิปสติกแล้วล่ะก็ การใช้ลิปกลอสน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า มันให้ประกายของสีเคลือบฉาบที่เรียวปากพร้อมกับความแวววาวที่ทำให้ริมฝีปาก ดูอวบอิ่ม
14. ลิปไลน์เนอร์
ลิปไลน์เนอร์อาจไม่ใช่ไอเท็มแต่งหน้าที่จำเป็นต้องมี แต่มันก็เป็นตัวช่วยที่ดีที่จะทำให้ริมฝีปากบาง ที่จะช่วยทำให้ดูหนาขึ้นด้วยการเขียนขอบปากให้เห็นชัดเจน และยังช่วยเรื่องป้องกันลิปสติกเปรอะเลอะออกนอกขอบปากได้ดีอีกด้วย
15. ชิมเมอร์
ประกายแวววาวของชิมเมอร์ไม่ว่าจะจากบลัช อายแชโดว์ หรือว่าลิปกลอส เครื่องสําอางเกาหลี ช่วยให้ผิวส่วนนั้นดูวาววิบวับ เลือกใช้ชิมเมอร์บาง ๆ สำหรับแต่งหน้าตอนกลางวัน และชิมเมอร์จัดสำหรับการแต่งหน้าไปงานกลางคืน นอกจากนี้ให้แต่งหน้าด้วยเครื่องสำอางที่มีชิมเมอร์แค่คราวละส่วนของใบหน้า เท่านั้น หากใส่ชิมเมอร์เข้าไปทั้งที่แก้ม ตา ปาก ฯลฯ พร้อม ๆ กัน หน้าของคุณคงจะดูตลกเกินไป
16. ฟินิชชิ่ง พาวเดอร์
ในขณะที่ไพรม์เมอร์ช่วยให้เครื่องสำอางบนใบหน้าติดทน การใช้ ฟินิชชิ่ง พาวเดอร์ ปัดทับทั่วใบหน้าหลังแต่งหน้าเสร็จ ก็เป็นเหมือนการรับประกันอีกชั้นหนึ่งว่าเครื่องสำอางที่แต่งไว้จะไม่ลบ เลือนไปได้ง่าย ๆ แน่นอน ทั้งยังช่วยเรื่องดูดซับความมันได้เป็นอย่างดี
เคล็ดลับทั้งหมดเหล่านี้เป็นคำแนะนำที่ดีสำหรับนักแต่งหน้ามือใหม่ แต่ถ้าอยากจะรู้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวคุณคืออะไร ก็ต้องได้ทดลองแต่งหน้าตัวเองในหลาย ๆ แบบดูนะคะ
ที่มา..guru.thaibizcenter.com
1. ทำความรู้จักกับผิวตัวเอง
สิ่งสำคัญที่จะทำให้คุณแต่งหน้าออกมาได้ประสบความสำเร็จ (ออกมาสวยและดูดีนั่นเอง) ก็คือต้องรู้จักกับสภาพผิวของตัวเองเสียก่อน รู้ว่าผิวของคุณเป็นแบบไหนแห้ง หรือมัน มีจุดด่างดำเยอะแค่ไหน ต้องการปกปิดมากเท่าไหร่ แพ้ง่ายหรือเปล่า สีผิวเฉดอะไร ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณเลือกเครื่องสำอาง เครื่องสําอางเกาหลี ได้ถูกต้องและเหมาะกับผิว รวมทั้งรู้วิธีการบำรุงผิวที่เหมาะสมกับตัวเองด้วย
2. บำรุงเพิ่มความชุ่มชื้น
เลือกบำรุงผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์สูตรที่เหมาะสมกับสภาพผิวของคุณ ไม่ว่าจะเป็นผิวมัน ผิวแห้ง ผิวผสม หรือว่าผิวแพ้ง่าย
3. ไพร์เมอร์
เมื่อบำรุงผิวแล้วขั้นตอนต่อมาก็เป็นการใช้ไพรม์เมอร์ ซึ่งจะช่วยให้เครื่องสำอางที่จะแต่งลงไปหลังจากนี้ติดทนนาน สีสดไม่ลบเลือน ทำให้ใบหน้าของคุณดูสดใสได้ตลอดทั้งวัน
4. เลือกเฉดสีที่พอดีกับผิว
เมื่อได้ทำความรู้จักกับสภาพผิวและสีผิวของตัวเองไปเป็นอย่างดีแล้ว คราวนี้ก็มาถึงขั้นตอนของการเลือกซื้อและเลือกใช้เครื่องสำอาง โดยเฉพาะส่วนของรองพื้น คุณควรเลือกสีที่พอดีกับสีผิวจริง ๆ ของคุณ เพราะมันจะได้แนบเนียนสนิทเป็นธรรมชาติ ไม่ทำให้เห็นความต่างระหว่างผิวส่วนที่ทารองพื้นกับผิวเปลือย
5. อย่าลืมคอ!
หากไม่อยากให้ใครเดินเข้ามาทักว่าใช้รองพื้นเบอร์อะไร หน้าขาวลอยออกมาเชียว! ก็อย่าลืมเกลี่ยรองพื้นไม่ว่าจะเป็นเนื้อฝุ่นหรือว่าเนื้อครีมลงไปยังลำคอ ของคุณด้วย คราวนี้สีผิวจะได้สม่ำเสมอเรียบเนียน ไม่ต้องกลัวคนทักให้อายอีกแล้ว
6. เนื้อฝุ่น กับ เนื้อครีม อย่างไหนดีกว่ากัน
สาวนักแต่งหน้ามือใหม่คงจะสับสนว่าควรเลือกใช้รองพื้นและบลัชแบบไหนดี เพราะปัจจุบันมีทั้งแบบเนื้อฝุ่นและเนื้อครีมให้เลือกใช้ คำตอบก็คือไม่สามารถบอกได้ว่าอะไรดีกว่ากัน อยู่ที่คุณได้ลองแล้วถนัดใช้แบบไหนมากกว่านั่นเอง
7. บรอนเซอร์
นักเมคอัพมือใหม่อาจรู้สึกว่าการใช้บรอนเซอร์แต่งหน้าแล้วทำให้หน้าดูน่า กลัว ซึ่งนั่นน่าจะเป็นเพราะคุณหนักมือกับมันมากเกินไป สำหรับคนที่ยังหัดแต่งหน้าอยู่ ให้ลองใช้บรอนเซอร์เพียงเล็กน้อยปัดเบา ๆ ที่หน้าผาก โหนกแก้ม และสันจมูก รับรองว่าจะทำให้ใบหน้าดูมีมิติมากขึ้น และยังได้ผิวที่ดูบ่มแดดเล็ก ๆ ด้วย
8. บลัช
บลัช ดูเหมือนจะเป็นเครื่องสำอางชิ้นแรก ๆ ที่สาวหัดเมคอัพส่วนใหญ่มีในครอบครอง จงจำเอาไว้ว่าให้เลือกบลัชที่เข้ากันได้ดีกับสีผิวของคุณ และปัดแค่พอระเรื่อเท่านั้น อย่าหนักมือปัดจนแก้มแดงเถือกเป็นอันขาด
9. มาสคาร่า
ไม่มีสูตรตายตัวสำหรับการเลือกใช้มาสคาร่า คุณสามารถเลือกลองได้หลาย ๆ ยี่ห้อจนกว่าจะพบแบบที่พอใจ จำไว้แต่หลักการเลือกเพียงว่า ขนตาสั้นให้เลือกแบบเพิ่มความยาว แต่ถ้าขนตาบางให้เลือกแบบเพิ่มความหนา และอย่าลืมเลือกแบบที่กันน้ำได้ด้วยนะคะ
10. อายไลน์เนอร์
นี่เป็นเมคอัพไอเท็มอีกหนึ่งชิ้นที่จะเปลี่ยนลุคของคุณได้ง่าย ๆ และเหมาะกับสาวตาตี่ เพราะจะทำให้ตาดู "ตื่น" และสดใส ลองกรีดอายไลน์เนอร์หลาย ๆ แบบ ทั้งตวัดขึ้นแบบ cat eye ลากตรง ๆ หากไม่ตวัด หรือลากหนา ๆ ให้ตาดูดำเข้ม ฯลฯ แล้วคุณจะได้พบตัวเองในลุคที่หลากหลาย เก็บเป็นแรงบันดาลใจได้ในการแต่งหน้าสำหรับโอกาสต่าง ๆ
11. เขียนคิ้ว
แค่จัดคิ้วให้ได้รูปทรงก็ทำให้ดวงตาของคุณดูสดใสขึ้นได้มากแล้ว สาวคิ้วบางจะใช้ที่เขียนคิ้วแบบดินสอหรือแบบเนื้อฝุ่นเพื่อเติมความคมเข้ม ให้คิ้วก็ได้ ส่วนสาวคิ้วหนาลองกันคิ้วออกบ้างให้ได้รูปสวย เท่านี้ใบหน้าและดวงตาก็ดูสดใสขึ้นเยอะแล้ว
12. ลิปสติก
เพื่อเลือกลิปสติกสีที่ใช่สำหรับตัวคุณ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้ลองทาและดูว่าสีไหนที่ขับผิวให้คุณดูเปล่งปลั่ง ทำให้ริมฝีปากคุณดูอิ่มเอิบมากที่สุด
13. ลิปกลอส
ถ้าคุณรู้สึกไม่ถูกใจสีสันสด ๆ และจัดจ้านจากลิปสติกแล้วล่ะก็ การใช้ลิปกลอสน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า มันให้ประกายของสีเคลือบฉาบที่เรียวปากพร้อมกับความแวววาวที่ทำให้ริมฝีปาก ดูอวบอิ่ม
14. ลิปไลน์เนอร์
ลิปไลน์เนอร์อาจไม่ใช่ไอเท็มแต่งหน้าที่จำเป็นต้องมี แต่มันก็เป็นตัวช่วยที่ดีที่จะทำให้ริมฝีปากบาง ที่จะช่วยทำให้ดูหนาขึ้นด้วยการเขียนขอบปากให้เห็นชัดเจน และยังช่วยเรื่องป้องกันลิปสติกเปรอะเลอะออกนอกขอบปากได้ดีอีกด้วย
15. ชิมเมอร์
ประกายแวววาวของชิมเมอร์ไม่ว่าจะจากบลัช อายแชโดว์ หรือว่าลิปกลอส เครื่องสําอางเกาหลี ช่วยให้ผิวส่วนนั้นดูวาววิบวับ เลือกใช้ชิมเมอร์บาง ๆ สำหรับแต่งหน้าตอนกลางวัน และชิมเมอร์จัดสำหรับการแต่งหน้าไปงานกลางคืน นอกจากนี้ให้แต่งหน้าด้วยเครื่องสำอางที่มีชิมเมอร์แค่คราวละส่วนของใบหน้า เท่านั้น หากใส่ชิมเมอร์เข้าไปทั้งที่แก้ม ตา ปาก ฯลฯ พร้อม ๆ กัน หน้าของคุณคงจะดูตลกเกินไป
16. ฟินิชชิ่ง พาวเดอร์
ในขณะที่ไพรม์เมอร์ช่วยให้เครื่องสำอางบนใบหน้าติดทน การใช้ ฟินิชชิ่ง พาวเดอร์ ปัดทับทั่วใบหน้าหลังแต่งหน้าเสร็จ ก็เป็นเหมือนการรับประกันอีกชั้นหนึ่งว่าเครื่องสำอางที่แต่งไว้จะไม่ลบ เลือนไปได้ง่าย ๆ แน่นอน ทั้งยังช่วยเรื่องดูดซับความมันได้เป็นอย่างดี
เคล็ดลับทั้งหมดเหล่านี้เป็นคำแนะนำที่ดีสำหรับนักแต่งหน้ามือใหม่ แต่ถ้าอยากจะรู้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวคุณคืออะไร ก็ต้องได้ทดลองแต่งหน้าตัวเองในหลาย ๆ แบบดูนะคะ
ที่มา..guru.thaibizcenter.com
วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
มอยเจอร์ไรเซอร์ คือ ... (Moisturizer)
มอยเจอร์ไรเซอร์ คือ ... (Moisturizer)เป็น คำถามที่สาวๆ ถามกันเข้ามาถึงเรื่อง มอยเจอร์ไรเซอร์ คือ นี้กันเข้ามามากอยู่ทีเดียว วันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) จึงของนำเสนอเรื่อง มอยเจอร์ไรเซอร์ คืออะไร มาฝากให้คุณสาวๆ ได้คลายความสงสัยค่ะ เพราะปัจจุบันมีมอยเจอร์ไรเซอร์ที่ถูกผลิตขึ้นมาหลากหลายยี่ห้อ หลากหลายผลิตภัณฑ์ ทำให้สาวๆ หลายๆ คนอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่า มอยเจอร์ไรเซอร์ คืออะไร กันแน่ แต่วันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) etude house นำเรื่อง มอยเจอร์ไรเซอร์ คือ ... (Moisturizer) มาบอกเล่าให้คุณสาวๆ ได้คลายความสงสัยกันค่ะ เอาเป็นว่าคุณสาวๆ อยากรู้กันแล้วรึยังค่ะว่า มอยเจอร์ไรเซอร์ คืออะไร มาดูไปพร้อมๆ กับเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) กันเลยดีกว่าค่ะ
มอยเจอร์ไรเซอร์ คือ ... (Moisturizer)
มอยส์เจอร์ไรเซอร์ (Moisturizer) คือ สารทาภายนอกที่สามารถเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนังได้ อาจมีอยู่หลายรูป เช่น ครีม โลชั่น ขี้ผึ้ง เป็นต้น ส่วนประกอบของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ มีดังนี้
1. สารปิดกั้นไม่ให้น้ำซึมผ่าน (Occlusive)
ออกฤทธิ์โดยปิดกั้นไม่ ให้น้ำซึมผ่าน เมื่อทาลงบนผิวหนังจะกระจายตัวออกคลุมผิวหนังเป็นแผ่นฟิล์มบางๆ กันไม่ให้น้ำภายในผิวหนังซึมออกสู่ภาย นอกทำหน้าที่คล้ายเกราะอ่อนป้องกันสารเคมีไม่ให้ระคายผิวหนัง แต่ถ้าล้างหรือฟอกผิวหนังบ่อยๆ ด้วยสบู่หรือดีเทอร์เจนหรือการถูเช็ดกับผ้าจะ ทำให้มอยส์เจอร์ไรเซอร์หลุดออกจากผิวหนัง อาจต้องทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ซ้ำหลายครั้งต่อวันตามสภาพการดำเนินชีวิตประจำ วัน สารกลุ่มนี้ ได้แก่ petrolatum, lanolin, dimethicone เป็นต้น2. สารที่ช่วยดูดซับน้ำ (Humectant)
มอยส์เจอร์ไรเซอร์ กลุ่มนี้เพิ่มความชุ่มชื้น ให้ผิวหนังโดยการจับน้ำในผิวหนังไว้ไม่ให้ระเหยไป สารกลุ่มนี้ได้แก่ latic acid, polyol, mucopolysaccharide, urea, glycerol, เป็นต้น สารกลุ่มนี้เมื่อทาบนผิวหนังอาจระคายผิวหนังได้ ทำให้รู้สึกยิบๆ จึงควรระมัดระวังโดยเฉพาะผิวหนังที่มีการอักเสบอยู่3. สารออกฤทธิ์ชนิดอื่นๆ
ซึ่งผสมในมอยส์เจอร์ไร เซอร์เพื่อให้มีคุณสมบัติอื่นเพิ่มมากขึ้นจากการให้ความชุ่มชื้นเพียงอย่าง เดียว ที่นิยมได้แก่ สารกันแดด สารกลุ่ม AHA ซึ่งช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกให้เร็วขึ้น สารที่ช่วยให้ผิวขาวขึ้น เช่น วิตามิน C, E, Niacinamide etude house เป็นต้นมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ดีควรมีคุณสมบัติ คือ
สามารถลดการสูญเสียน้ำ จากผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวชุ่มชื้นเรียบเนียนขึ้น ดูดซึมเร็ว ออกฤทธิ์ทันที และอยู่ได้นานบนผิวหนังโดยไม่ต้องทาซ้ำหลายครั้ง ไม่ก่อให้เกิดการแพ้หรือระคายเคืองและมีราคาไม่แพงขอขอบคุณข้อมูลการดูแลผิวสวยผิวขาวจาก สสส.
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)